Friday, January 19, 2007

iconoclast's tag

สวัสดีครับมิตรรักและเหล่าสหายทั้งหลาย วั้นนี้ผมมีเรื่องเล่าเบาๆคั่นเวลาก่อนที่ผมจะไม่มีเวลามาเขียนบล็อคเป็นอาชีพเหมือนที่เคยทำ (จริงๆเเล้วควรจะพูดว่าไม่ค่อยได้ทำมากกว่า เพราะขี้เกียจจนความยาวหลังผมยาวเกินเมตรไปเเล้วครับท่าน) เรื่องของเรื่องมีอยู่ว่าเมื่อไม่นานมานี้ผมได้อ่านจดหมายของคุณผู้อ่านท่านหนึ่งซึ่งส่งมาทาง G-mail เพื่อขอเพลงหลังไมต์ ซึ่งจริงๆเเล้วเธอคนนั้นส่งจดหมายอิเล็คโทรนิคมาเป็นชาติเเล้วเเต่ผมไม่มีเวลาว่างซักเท่าไหร่เพราะอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อตอนปลายเทอม งานเยอะฉิบ ผมก็ไม่ว่าอะไรเพราะไม่ได้เป็นคนหวงของเก็บเอาไว้คนเดียวอยู่เเล้วจึงส่งเพลงเเนบกลับไปกับจดหมายขอประทานอภัยที่ได้ตอบช้าเหลือเกิน

ปรากฏว่าเธอคนนั้นกลับทำให้ผมต้องครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ เพราะเธอดัน tag ผมมาละสิ เพราะไม่คาดคิดมาก่อนว่าวันดีคืนดีจะโดน tag กับเค้าด้วย ตอนเเรกก็น่ิงเงียบยังคุยกะ น้อง gelgoog อยู่เลยทำไงดีวะ ถ้าไม่เขียนตอบคำเชิญนี่จะน่าเกลียดไหม ผลสรุปคือทนหน้าด้านไม่เขียนมาได้อาทิตย์กว่าๆ จิตใต้สำนึกด้านดีกระตุ้นว่าควรเขียนสักหน่อยอย่างน้อยผมก็ยังต้องอาศัยอยู่บนโลกของไซเบอร์สเปซไปอีกนาน จะได้ไม่เป็นที่รังเกียจไปมากกกว่านี้ งั้นเรามาเริี่มเรื่องที่หนึ่งเลยดีกว่า

1. ผมเป็นคนที่ไม่ชอบพวกวิชาทางด้านสังคมศาสตร์เอามากๆ ตั้งเเต่เด็ก เพราะมันอ่านเยอะเหลือหลาย อ่านนู้นอ่านนี่อะไรก็ไม่รู้เยอะเเยะไปหมด แล้วอีกอย่างผมเรียนเป็นสายวิทย์มาตลอดด้วย ซึ่งล้อมรอบไปด้วยเลข วิทยาศาสตร์ ภาษาอังกฤษ ผมจึงไม่ค่อยชอบเรียนวิชาพวกสังคม ภาษาไทย ซักเท่าไหร่เพราะรู้สึกว่าตัวเองคงเอาดีไม่ได้เเน่ๆ ตอนมัธยมปลายวิชาสังคมกับภาษาไทยนั้นห้องผมจึงละเลยมันอย่างมาก คนสอนๆไปอยู่หน้าชั้นพวกกูจะคุยใครจะทำไม โดนด่าก็เงียบได้ไม่นานก็กลับมาเป็นเหมือนเดิม จนมาสเตอร์ที่สอนเอือมระอากับห้องผมไปเลย อีตอนสอบเข้าเอนทรานซ์ผมดันเอนทรานซ์ติดคณะสายสังคมศาสตร์เเทนที่จะเป็นวิศวะ ด้งนั้นคงไม่เป็นที่เเปลกใจนักที่นักเรียนสาววิทย์เข้ามาเรียนวิชาที่ไม่ค่อยได้ใส่ใจนักตอนมัธยม จะรู้สึกอย่างไรกับการต้องมาเรียนวิชาพื้นฐานของสายสังคมศาสตร์ ในห้องเรียนภาษาไทยผมก็มักจะนั่งกับเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเก่าเสมอ จึงไม่เเปลกที่จะติดสันดานเดิมๆที่ชอบคุยในห้องเรียนในขณะที่อาจารย์กำลังสอน เเต่เชื่อไหมครับอาจารย์ให้ความเอ็นดูเป็นพิเศษ เพราะตอนที่ต้องสอบพูดหน้าชั้นอาจารย์เเกมักจะให้เกียรติผมกะเพื่อนผมเป็นคนเเรกๆในการสอบ แล้วพวกผมมันก็เป็นพวกปากกล้าขาสั่นครับ คุยหลังห้องกันโคตรเก่งพอออกไปหน้าชั้นกว่าดอกพิกุลจะร่างจากปากร่างกายผมต้องเสียเกลือเเร่ทางเหงื่อไปเป็นขวดๆ เหมือนชะตากรรมเล่นตลกที่ทำให้ผมตกหล่มอยู่ในสายสังคมศาสตร์ตราบจนทุกวันนี้

2. ก่อนเข้ามหาวิทยาลัยผมเรียนที่ รร วัดฝรั่งตั้งเเต่ ป หนึ่ง ยัน ม ห้า ครับนี่เเหละความลับของผม เฮ้ยไม่ใช่ขอเเก้ตัวก่อนที่จะโดนยำบาทา แต่มันก็เป็นผลสืบเนื่องกันมา การที่เรียนอยู่รร เดียวโดยไม่ได้เปลี่ยนสถานที่เรียนเลยนี่ ทำให้ผมสนิทกับเพื่อนที่ รร เก่าเป็นพิเศษ ถึงเเม้จะไม่ได้เจอกันร่วมสิบปี แต่ก็ยังต่อกันติดเสมอคงเป็นเพราะทำวีรกรรมมาด้วยกัน เอาเป็นว่าเล่าเรื่องตอน ม ห้า ปีสุดท้ายของพวกเด็กนร ขาสั้นก็เเล้วกัน ที่ผมบอกว่าเป็นปีสุดท้ายนั้นเพราะผมเรียนอยู่โครงการ สพพ รุ่นที่สามของ รร ซึ่งคำเต็มมาจากอะไรผมก็จำไม่ค่อยจะได้เเล้ว เอาเป็นว่าพวกผมเรียนกันง่ายๆว่าห้องสองปีจบ ห้องนี้รวมพวกเด็กเรียนพอใช้ได้มารวมกันซึ่งนับเบ็ดเสร็จมีจำนวน นร ทั้งสิ้น เจ็ดสิบเจ็ดคน ซึ่งน่าจะนับเป็นสถิติกินเนีนสบุ๊คได้เลย ณ เวลานั้น เรื่องมีอยู่ว่ามีอยู่วันนึงตอนพักเที่ยงซึ่งมันจะพักราวๆสิบเอ็ดโมงครึ่ง ซึ่งพวกผมก็จะไม่ไปกินข้าวในทันทีทันใดหรอกครับ มันไม่เท่ห์ต้องไปกินตอนประมาณโรงอาหารจะวาย จะใกล้เรียกเข้าเเถวก่อนเข้าเรียนภาคบ่ายนี่มันจะเก๋ากว่า ซึ่งพวกผมก็ทำกันเป็นปกติ เเต่บังเอิญขากลับดันมีไอติมไฮเเกนส์ดาซมาเเจกฟรี แล้วคิดดูนะครับว่าห้องผมมันเดินไปกินข้าวเป็นสามสิบกว่าคนพร้อมๆกัน แล้วเสล่อไปต่อคิวเอาไอติมมากินฟรีอีก แล้วดันจะใกล้เวลาเข้าเเถวตรงสนามบาส กินไงก็ไม่ทัน ประจวบเหมาะว่าห้องเรียนของเราเป็นหนึ่งในสองห้องเรียนที่ติดเครื่องปรับอากาศ พวกผมก็ถอดหน้ากากเเอร์เเล้วเอาไอ้ติมกล่องยัดไปเเทนที่ แล้วก็ไปเข้าเเถวเข้าห้องเรียนตามปกติ เเต่ที่ไม่ปกติคือมาสเตอร์ฝ่ายปกครองดันเดินมาดูผลงานของพวกผมซิครับ พวกเราได้เเต่นิ่งเเล้วมองหน้ากัน เเทนที่จะสำนึกผิดกลับหัวเราะชอบใจกันทั้้งห้องเห็นเป็นเรื่องขำไป ไม่รู้ว่าคราวซวยมาเยือน มาสเตอร์ดันไม่ขำสิครับ เข้ามาด่าเนียนๆยกใหญ่ นึกว่าเรื่องจะจบเเค่โดนด่า วันรุ่งขึ้นดันเป็นวัดตรวจผมประจำเดือน ปรากฏห้องผมซึ่งไว้ผมกันยาวเกินเจ็ดเซนติเมตรเกินตามกำหนด โดนมาสเตอร์เเกกร้อนผมให้เป็นที่อับอายกันถั่วหน้า

3. เรื่องนี้เกิดเมื่อตอนปีสองหรือปีสามนี่เเหละครับผมไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่นักว่าเป็นปีไหนกันเเน่ เรื่องก็มีอยู่ว่าอยู่ดีๆดันเกิดเบื่อชีวิตกรุงเทพขึ้นมาแล้วอยากหาเรื่องไปเที่ยวต่างจังหวัด พอดีเค้ามีเปิดรับสมัครให้ไปออกค่ายที่จังหวัดยโสธรเป็นเวลาสิบวัน มันก็เข้าทางผมสิครับเเบบนี้ เลยชวนสมัครพักพวกให้ไปค่ายนี้กัน นอกจากได้ไปเที่ยวต่างจังหวัดเเล้วยังไปสร้างโรงเรียนให้เเก่เด็กเล็กๆยามพ่อเเม่ออกไปทำงานกัน โรงเรียนเเห่งนี้เป็นโรงเรียนขนาดเล็กๆไม่ใหญ่มาก เเต่เรื่องของเรื่องมันอยู่ที่ว่าต้องนั่งรถไฟไปกลับซึ่งมันขัดกับความรักสะดวกสบาย และนิสัยไม่ชอบการเดินทางนานๆ (เเต่ถ้าเดินทางโดยรถยนต์ที่ผมเป็นคนขับนี่ไม่มีปัญหานะครับ) ผมจึงปรึกษากะพ่อเเม่ว่าผมจะไปออกค่ายเเต่ไม่อยากนั่งรถไฟ เเกก็ไม่ว่าอะไรกันก็บอกว่าเค้าไม่มีปัญหาในเรื่องที่ผมจะไปออกค่าย เเละถ้าเกิดไม่อยากนั่งรถไฟไปก็ให้นั่งเครื่องไปละกัน อ่านมาถึงตรงนี้อาจคิดว่าผมทำตัววิเศษวิโสมาจากไหน อวดร่ำอวจรวยอย่างไรนั่งเครื่องไปออกค่าย จริงๆเเล้วไม่ได้ร่ำรวยหรอกครับท่านบังเอิญที่ว่าพ่อของผมทำงานสายการบินแล้วพ่อผมมีสิทธิ์ซื้อตั๋วราคาถูกถึงถูกมากในราคาสิบเปอร์เซนต์เท่านั้น ผมซึ่งอายุยังไม่เกนยี่สิบเอ็ดจึงยังได้รับสิทธิอันนี้อยู่ ซึ่งเบ็ดเสร็จเเล้วราคาถูกกว่าราคาตั๋วรถไฟจากกรุงเทพไปน่าน (ไม่มีรถไฟไปยโสธรนะครับต้องไปน่านก่อนเเล้วต่อรถเข้าไปตามความเข้าใจของผม) ผมจึงลองถามพวกกรรมการค่ายซึ่งก็เป็นเพื่อนๆกันนี่เเหละว่าสามารถทำได้รึเปล่า ปรากฏกลายเป็นเรื่อง talk of the ค่าย ซึ่งมารู้ภายหลังว่าพวกเพื่อนผมมันเป็นกังวลว่าผมคงจะทนลำบากไม่ไหว จัดให้ผมไปนอนบ้านครูบิ้งซึ่งเค้าเล่ากันว่าเป็นบ้านที่สะดวกที่สุด ซึ่งจริงๆผมไม่ได้สนใจว่าจะทำหรูนะครับเเต่มันสนนราคาถูกกว่าก็เท่านั้นเอง นับเป็นการออกค่ายอาสาพัฒนาครั้งเเรกในชีวิต นศ เป็นประสบการที่ดีครับมีเรื่องเล่าอีกมากมาย ติดเอาไว้เล่าคราวหน้าก็เเล้วกัน

4. ใครเล่าจะเชื่อบ้างว่าผมจะเป็นเด็กเเนวที่สามารถใช้ชีวิตในร้้วมหาวิทยาลัยเเค่สามปีครึ่ง อันนี้ไม่ได้มาจากความตั้งใจอย่างเเน่วเเน่นะครับ บังเอิญมันจบของมันเองเเล้วขี้เกียจเรียนเเล้วด้วยเลยตัดสินใจไม่เรียนมันเเล้ว เลยนับว่าเป็นคนเเรกๆของรุ่นที่ต้องก้าวออกจากการเป็นนศเร็วกว่าคนอื่นๆ แล้วก็ยังได้เข้าทำงานเป็นคนเเรกๆของคณะด้วยครับ ไม่รู้ดีใจหรือเสียใจดี

5. ที่คณะของผมเข้าจะมีจัดการเเข่งขันฟุตบอลภายในคณะทุกๆปี ซึ่งก็เป็นการเเข่งระหว่างกลุ่มนี่เเหละครับใครอยู่กลุ่มไหนก็สังกัดทีมนั้นไอ้เรื่องการจะย้ายทีมนั้นยากครับเเต่ก็ยังสามารถทำได้อยู่ เนื่องจากทางฟีฟ่าไม่เคยกำหนดไว้ห้ามเล่นให้กับทุมนอกกลุ่ม ผมนั้นก็เล่นให้กับกลุ่มมาสามปีติด เเต่ในปีสุดท้ายดันเกดความคิดกบฏกับเพื่อนกลุ่มเล็กๆขึ้นมา ว่าเราจะตั้งทีมปีสี่เเยกออกมาเเช่งกับทีมกลุ่มที่มีอยู่เเล้ว ผมมักจะเรียนกทีมนี้ว่าทีมกระหรี่เพราะมันไปดึงใครมาก็ได้ให้ครบสิบเอ็ดคน ยังจำได้ว่านัดเเรกเล่นกับกลุ่มต้นสังกัดของผมเองซึ่งมีดีกรีเป็นเชมป์เก่าหลายสมัยอยู่ ไอ้คนที่เป็นตัวตั้งตัวตีจัดทีมดันกลับไปชุดที่บ้านแล้วเสือกมาไม่ทั้นเเข่งครึ่งเเรก ทีมกระหรี่ของผมจึงต้องเเข่งกับทีมเเชมป์เก่าด้วยกำลังนักเตะเเค่เจ็ดคน รวมผู้้รักษาประตูเข้าไปเเล้วนะครับ กระหรี่เลยโดนยำอยู่เกือบยี่สบินาทีได้กว่าจะมีผู้เล่นครบสิบเอ็ดคนตามกฏของฟีฟ่า ผมจำไม่ได้เเน่ว่าสกอร์สุดท้ายทีมกระหรี่อย่างผมชนะหรือเสมอ เเต่ที่เเน่ๆไม่เเพ้ครับ ทีมผมก็มีผู้เล่นเปลี่ยนหน้าไปเรื่อยครับเพราะเเค่จัดทัพให้ครบสิบเอ็ดคนก็ยากเเล้วครับ ต้องโดดเรียนโดดงานมา(อันหลังนี่เฉพาะผมคนเดียว) เเต่ก็ได้เข้ารอบชิงครับท่าน เพื่อนผมก็นัดกันอย่างดีว่ามึงต้องมาเเข่งนัดสุดท้ายด้วยนะ โดดงานมาเลยชิ่งหนีเจ้านายมาเล่นบอลกัน ไอ้เรื่องโดดงานนะไ่ม่่เท่าไหร่เเต่ตัวผมดันไปมีเเฟนเเล้วเค้าไม่ให้มาเเข่งนี้ละซิครับ เร่ืองใหญ่กว่า สรุปผมก็ไม่ได้ไปเเข่งเเล้วบังเอิญจริงๆว่าทีมกระหรี่ของผมดันชนะครับ เค้าก็ไม่มีไรมากหรอกครับก็เเจกเหรียญตามประเพณี พอตกเย็นผมก็รีบมาบอกพวกมัน เฮ้ยไหนเหรียญกูวะ ไอ้เพื่อนคนที่ไปเอาชุดตอนนัดเเรกมันตอบกลับกูไม่ให้มึงหมั่นไส้นัดให้มาเสือกไม่มา สรุปปีนั้นถึงจะได้ชื่อว่าเป็นทีมเเชมป์เเต่ผมกลับบ้านโดยไร้เหรียญประดับใดๆทั้งสิ้น อยากเตะตูดมันให้ดังๆ

ก็ได้เปิดเผยเเล้วนะครับเรื่องน่ารู้ของเจ้าของบล็อค กว่าจะเขียนตามคำเชิญของน้อง epsie ต้องใช้เวลาหน่อยนะครับ

8 Comments:

At 7:25 AM, Anonymous Anonymous said...

สพพ. ย่อมาจาก โครงการส่งเสริมและพัฒนานักเรียนที่มีความสามารถพิเศษครับ ผมเองก็อยู่โครงการนี้เหมือนกัน แต่ผมอยู่รุ่น 7 นะครับ อิอิ ห่างจากพี่หลายรุ่น

 
At 7:39 AM, Anonymous Anonymous said...

นึกว่าจะใจร้ายไม่ตอบ tag ซะแล้ว ขอบคุณนะคะที่ร่วมสนุกกับเกมส์ขำๆ ของโลกไซเบอร์

1.ตอนม.ปลายเราเป็นเด็กหลังห้องเหมือนกัน แต่ตอนม.ต้นเราเป็นเด็กหน้าห้องนะ โต๊ะหน้าสุดเลยหล่ะ

2.เอ่อ เราย้ายโรงเรียนตลอดเลยหล่ะ อนุบาลถึงป.2 โรงเรียนนึง ป.3-ป.6 อีกที ม.ต้นเรียนร.ร.สตรี ส่วนม.ปลายมาเรียนสห. ก็เลย เพื่อนหลายกลุ่ม แต่ก็ติดต่อกันอยู่ทุกกลุ่ม แต่เป็นไปแบบหลวมๆ ผ่านอีเมล์ และการเจอโดยบังเอิญ เหนียวแน่นสุดคงเป็นเพื่อนม.ปลายละมั้ง นอกจากนี้แล้วเรายังมีเพื่อนจากการทำกิจกรรมโน่นนี่ เพื่อนแถวบ้าน เพื่อนมหาลัยอีกสองสถาบัน จนเวลาเมมเบอร์โทร หรืออีเมล์ต้องมี อักษรย่อเพื่อแยกว่าชื่อนี้เป็นเพื่อนกลุ่มไหน จะได้ไม่งงเพราะมีชื่อซ้ำหลายคนเลย


3.ถ้ามาออกค่ายที่เราเป็นคนจัด เราคงบอกว่า "ไม่ได้ค่ะ ต้องไปด้วยกัน เพราะมันเป็นกฎชมรม" ถึงแม้จะมีเหตุผลเรื่องค่าเดินทางที่ต่ำกว่าโดยเปรียบเทียบ แต่ถ้าไม่ไปด้วยกัน กลับด้วยกัน ก็ไม่ต้องไป ใครๆ เค้าก็ว่าเราเป็น เจ๊โหดดด

ไว้เล่าให้ฟังมั่งซิ่ว่าไปออกค่ายแล้วเป็นไงมั่ง รออ่านนะคะ (ไม่ได้กดดันนะ :P )

4.เรียนจบเร็วจัง

วันนี้ฟังเพลงจากบล็อคพี่ได้ไม่สะดุดอ่ะ พี่ปรับแก้อะไรหรือเปล่าคะ

 
At 7:43 PM, Blogger The Iconoclast's Journey said...

พอดีไม่ค่อยมีเวลาเท่าไหร่เพราะเพิ่งเปิดเทอมมาอีกสองอาทิตย์มีสอบมิดเทอม อ่านกันบานสิครับ ก็เลยตัดสินใจรีบๆเขียนก่อนที่จะดองเค็มอีกนาน ว่าไปยังมีเรื่องเล่าตอนเรียนอีกเพียบ เนื่องจากสร้างวีรกรรมกันไว้เยอะในห้องผม คิดดูว่ามีตั้ง 77 คน มันก็ต้องมีเรื่องมากมายอยู่เเล้ว

เรื่องเพลงในบล็อคผมก็ไม่เคยไม่เเตะไปต้องอะไรมันเลยตั้งเเต่เอามาเเปะเอาไว้ข้างๆบล็อคผม อาจจะเป็นที่อินเตอร์เนตคอนเนคชั่นก็เป็นได้

เรื่องเล่าเบาๆคงค่อยๆออกมาเรื่อยๆละครับ จะกลายเป็นบล็อคเรื่อยเปื่อย สมองไม่สามารถกลั่นเขียนเรื่องที่เป็นเรื่องเป็นราวได้เท่าไหร่

 
At 10:39 AM, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ที่วันนั้นดันความเร็วต่ำกว่าปกติ

 
At 9:00 AM, Blogger bact' said...

ตอนเลี้ยงรุ่นที่ผ่านมา
เรื่องไอติมก็ยังคงเป็นประเด็นฮิตอยู่
พูดทีไรก็ขำ

... แต่ไม่อายเหรอ - -"

 
At 9:02 AM, Blogger bact' said...

จำได้ว่า 79 นะ

เอ ใช่มะ ?

... มีเด็กฝรั่งแลกเปลี่ยนด้วยคนนึง

 
At 7:28 PM, Blogger Iconoclast said...

อืมตอนเลี้ยงรุ่นล่าสุดกระผมก็ไม่ได้ไปอีกเเล้ว นับเป็นปีที่ห้าติดต่อกัน เเน่นอนว่าเรื่องไอติมนี่คงจำกันไปอีกนาน ยังมีอีกหลายเรื่องจำได้คลับคล้ายคลับคลา เเต่ยังไม่เเน่ใจ เลื้ยงรุ่นปีหน้าน่าจะทำคลิปวีดีโอวีรกรรมของคับเเก้วเนอะ ไว้เพื่อนเเบคลองทำดิ

ไอ้ตอนเราจบ รร เรามันฉลอง diamond jubilee ไม่ใช่เหรอวะ อันนี้จำไม่เเม่นเหมือนกันเเต่ไม่น่าพลาดวะ

ส่วนไอ้ฝรั่งที่มันมานั่งในห้องเรามันชื่อเเซม หน้าตาเหมือน สตีฟ เเมคมานามานสุดๆ จำได้ว่า จิ้งโก่งมันลงทุนสอนฟิสิกส์เป็นภาษาอังกฤษด้วย เเต่เเป๊บเดียวมันก็เลิก

 
At 2:26 PM, Blogger Unknown said...

ไม่เคยเล่าความลับนี้ให้ฟังเลยนะท่าน....

 

Post a Comment

<< Home