Friday, December 23, 2005

คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม

เคยนั่งคิดกันเล่นๆไม่ครับว่าวันๆหนึ่งเนี่ย เราใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงไปกับเรื่องอะไรบ้าง ผมว่าลองนั่งคิดเเล้วตอบคำถามนี้กับตัวเองก็ดีเหมือนกันนะครับ เผื่อเราอาจจะรู้จักตัวเราเองมากขึ้น แล้วลองคิดกันเล่นๆต่อไปอีกสักนิดดีกว่าว่า ไอ้เวลาที่เราเเบ่งสรรปันส่วนไปให้กับกิจกรรมต่างๆของเรานั่นนะ ตัวเราเองมีความสุขมีความพอใจหรือไม่พอใจอย่างไร แล้วถ้าหากว่าเราไม่พอใจมันอยู่เนี่ย มันเป้นเพราะอะไร

เปล่าเลยครับถ้าจะคิดว่าผมบรรลุุหรือบ้าไปแล้ว ผมก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างที่หลายๆคนโดนข่มขี่นให้เป็นหรือไม่ก็สมยอมเป็นบางโอกาศ ผมก็มีบางส่วนของชีวิตที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับมันสักเท่าไหร่ อยากเเก้ไขหลายครั้งหลายครา แต่สุดท้ายก็จำใจยอมรับกับชีวิติที่ต้องผ่านไปวันๆ

เเต่ในความจำยอมผมก็เริ่มคิดได้ว่า มันก็เเค่ทางผ่านประปรายก่อนจะไปถึงจุดที่เราอยากไป การได้ทำในส่ิงที่เรารักนี่ผมว่ามันไม่ยากเท่าไหร่ เเต่การที่จะทนรอเพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่รักนี่สิครับ ผมว่ายากโคตร บางคนใช้เวลาไม่นานในการค้นหา แต่สำหรับบางคนค้นหามาเกือบค่อนชีวิตยังหาไม่เจอก็มี หลายคนอาจจะละและเลิกที่จะคิดว่ามันคืออะไร

ไม่ได้นั่งเทียนเขียนนะเนี่ย เเค่ผมลองนั่งคิดว่าตัวเรานี่เเม่งมานั่งทำซากอะไรอยู่นมนานที่เมืองนอก ใช้เวลาเรียนก็ค่อนข้างนานกว่าชาวบ้าน เพื่อนรุ่นเดียวกันเริ่มจะจบกันไปแล้ว ทำงานเเต่ละวันเหมือนมนุษย์เงินทำไปใช้ไป จนผมเร่ิมจะหลงลืมจุดที่ทำให้ผมมาศึกษาต่อ จนวันนี้ครับ พูดง่ายๆ ผมต้องการพลังผลักดันอะไรซักอย่าง (Drive) ใหม่ ก่อนที่ผมจะถูกสังคมรอบข้างตีกรอบให้เป็นเเรงงานไร้วิญญาณมากไปกว่านี้

วันนี้คริสต์มาสมันก็คงเป็นเหมือนวันธรรมดาทั่วๆไป หากเเต่ว่าความคิดตอนเเจ็ดโมงเช้าของวันที่ 25 ธันวาคม มันบอกให้ผมไปโบส์ถ เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ที่ผมเรียนรู้มาเเต่เด็กที่เรียกว่ามิซซา เปล่าครับนี่ไม่ใช่กิจกรรมที่ผมมักจะทำเป็นกิจวัตรในทุกๆปี ในปีที่ผ่านๆมาผมมักมีข้ออ้างให้กับตัวเองได้เสมอ ในการที่จะไม่ไปหรือไปก็ด้วยความจำเป็น แต่ปีนี้กลับเเตกต่างออกไปเพราะผมกับเต็มใจไปด้วยตัวเอง

และเหมือนดวงตาอันเเซนซนของผมที่ชอบลามเลียไปกับบรรยากาศที่ดูคุ้นเคยมาตั้งเเต่จำความได้ ได้าไปสะดุดแผ่นใบปลิวของทางโบส์ถ ซึ่งขี้นข้อความเป็นตัวหนาพอที่จะสะกดตาทั้งสองของผมให้อ่านข้อความภายในต่อ "Nativity of The Lord" เป็นหัวข้อนั้นครับ ซึ่งก็คงหลีกหนีไม่พ้นเรื่องราวของทารกน้อยที่เกิดมาท่ามกลางความหนาวเหน็บในโรงเลี้ยงสัตว์ เรื่องมันคงจะไม่มีต่อหากเเต่เด็กคนนั้นไม่ได้มาเป็นศาสดาคนหนึ่งซึ่งสอนเหล่าสานุศิษย์บนโลกนี้ให้เป็นคนที่เชื่อในความรัก

เพียงเเค่เวลาสั้นๆไม่ถึงชั่วโมง ผมกลับเดินออกจากโบส์ถกับคำตอบที่ผมอยากได้มานาน ไม่น่าเชื่อว่ามันอาจจะเป็นคำตอบสุดท้ายว่าทำไมผมถึงมายืนอยู่และมันอาจจะเป็นตาน้ำที่ด่อให้เกิดเเม่น้ำลำธาร รู้สึกดีครับที่ได้รับเเรงกระตุ้นอีกครั้ง แล้วคุณเชื่อในพรหมลิขิตมั๊ย

3 Comments:

At 1:00 PM, Anonymous Anonymous said...

ไอ้เรา นึกว่า ไปเจอเนื้อคู่ ....... เหอ เหอ

 
At 8:54 PM, Anonymous Anonymous said...

ทุกอย่างมีสถานที่ มีเวลาของมัน สิ่งต่างๆรอบตัวผลักดันให้มันเป็นไป อาจเป็นเหตุผลที่ ทำไมผู้คนจึงเดินทาง ทำไมคนที่อยู่คนละซีกโลกจึงได้มาเจอกัน ทำไมเราจึงกลายมาเป็นเพื่อนของคนที่ครั้งนึงเคยเรียกว่า..ใครก็ไม่รู้..เมื่อก่อนเคยคิดว่าทำไมถึงต้องชอบทำชอบคิดอะไรที่ไกลตัวและยากเย็นด้วย..ทำไมไม่พอใจกับอะไรที่ง่ายๆเหมือนชาวบ้านเขา ทางเดินง่ายๆที่บางคนปูไว้ให้ ขั้นตอนง่ายๆที่คนอื่นเขาทำ รูปแบบชีวิตที่คนทั่วๆไปเขาใช้.. บางที..คำตอบอาจจะอยู่ข้างบน..

 
At 11:30 AM, Anonymous Anonymous said...

ขอบคุณมากเลยนะครับ สำหรับบทความ

 

Post a Comment

<< Home