Friday, February 24, 2006

ยุบสภาเพื่อประชาชนหรือเพื่อตัวกู


เช้าของวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ตามเวลาเเคลิฟอร์เนีย ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเดิมๆเอียนอ่านข่าวการเมืองยังไงชอบกล ประกอบกับวันก่อนหน้านั้นดันสอบอีโคโนเมตริกยังมึนไม่หาย เดินไปเปิดคอมทิ้งไว้แล้วเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกเอียนๆมึนๆ เเปรงฟันล้างหน้าเสร็จออกมา นั่งเช็คเมล์ไปได้สักพักหันไปอ่านบล็อคไอ้เเบคทีเรียดีกว่า

ตาตื่นเลยครับเห็นมันโพสอะไรเเปลกๆว่า นายกยุบสภาเเล้ว ไอ้เราก็เฮ้ยเเม่งไหนมันบอกว่าต้องรอชาติหน้าถึงจะยุบไง ไหงมันถึงได้ยุบเร็วเเบบนี่วะ ไม่อยากตามอ่านก็ต้องอ่านละคราวนี้ ก็นั่งอ่านเเบบผ่านๆพอให้เชื่อใจได้ว่านายกได้ยุบสภาแล้วจริงๆ ก็ได้มานั่งหงุดหงิดกับตัวเองต่อ

เหตุผลหลักๆที่ท่านได้เเจ้งไว้ในการยุบสภาก็คือท่านรักเเละเคารพการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในเมื่อสภามีปัญหา กลุ่มบุคคลเล็กๆบางกลุ่มก่อปัญหาเล่นเกมส์นอกสภา ท่านก็เลยตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจอีกทีในวันที่ 2 เมษายน นี้ ให้รู้กันไปเลยว่าถ้ายังอยากให้คนชื่อทักษิณกลับมารับใช้ท่านต่อก็เลือก ถ้าไม่พอใจก็อย่าเลือกผม ผมก็จะได้ไปทำอย่างอื่น

คำถามของผมเกี่ยวกับการยุบสภาครั้งนี้เริ่มผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ การกระทำของนายกครั้งนี้เป็นการทำเพื่อประชาชนจริงรึเปล่า แล้วเรื่องที่โดนภาคประชาชนตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมทางการเมืองนั่นอีกเล่า จะให้ผมเชื่อโดยสนิทใจได้อย่างไรว่าท่านทำเพื่อประชาชนโดยเเท้จริง ในเมื่อท่านไม่เคยตอบข้อกล่าวหาดังกล่าว เเถมยังสร้างข้อสงสัยให้กับประชาชนอย่างผมให้เคลือบเเคลงเพิ่มขึ้นอีกในกรณีขายหุ้น 70,000 หมื่นล้านอีก ดังนั้นคงไม่เเปลกอะไรที่ผมจะตั้งสมมติฐานในการวิเคราะห์การยุบสภาของท่านนายกคนนี้เป็นอื่นไกลไปไม่ได้นอกจากเป็นการกระทำเพื่อตนเอง

คำพูดของท่านเองที่กล่าวย้ำผ่านทางสื่อต่างๆมากมายว่าจะไม่ยุบสภาเด็ดขาด การยุบสภาเพื่อให้ผมมีความได้เปรียบทางการเมืองนั้นไม่ใช่วิธีของผม หรือไม่ก็ถ้าผมจะยุบสภา ผมจะบอกกันล่วงหน้าก่อนเลย 90 วัน จะได้เเฟร์ๆ เล่นกันตรงๆ แล้วไหงน้ำลายที่พ่นออกจากปากมันถึงได้วกกลับมาตกที่หน้าท่านเอง

ท่านไม่ใช่คนเเรกที่ใช้การยุบสภาเป็นทางออกทางเเรกให้กับตัวเอง ถ้าเราอ่านศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองมาบ้างก็พอจะรู้ว่านายกหลายท่านก็ได้ใช้วิธีเดียวกันนี้เป็นการเเก้ปัญหา เหตุผลที่อ้างเพื่อความชอบธรรมเเละทำให้ดูดีในสายตาประชาชนก็คือเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน วกกลับมาดูที่ระบบรัฐสภาของบ้านเรา ณ. ตอนนี้ถ้าถามว่ามันมีปัญหามั๊ย ก็คงต้องบอกว่ามี แต่ปัญหานั้นเกิดขึ้นมาจากตัวรัฐสภาเองหรือปัญหามันเกิดมาจากผู้คุมเสียงในสภา เป็นประเด็นที่ผมเห็นว่าเราควรจะใส่ใจเพราะเราจะได้เเก้ปัญหาได้ตรงจุด

ฝ่ายรัฐบาลนั้นครองเสียงข้างมากฝ่านเดียวในสภา ท่านอยากจะดันเสนอกฏหมายไหนให้ผ่านก็ย่อมทำได้ ฝ่านค้านก็คงทำได้เเต่ยกมือให้ครบว่าไม่เห็นด้วย แล้วกฏหมายก็ได้มติเอกฉันท์ว่าผ่านอยู่วันยันค่ำ ถ้ากฏหมายเเต่ละฉบับนั้นออกมาเพื่อประโยชน์สุขของคนในชาติ มีรึที่คนจะไม่สรรเสริญ ท่านกลับจะได้รับความไว้วางใจในการบริหารประเทศต่อไปตราบที่ท่านต้องการ แต่กาลหากลับได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านนายกทักษิณออกกฏหมายต่างๆเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ ของท่านเเละหมู่วงศาคณาญาติ นั่นเป็นจุดก่อของปัญหาต่างๆ ต่างหาก ที่หลายๆฝ่ายต้องการการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและจากคำตอบจากท่านผู้นำ แต่ท่านไม่เคยออกมาให้คำตอบอย่างจริงๆจัง อ้างเรื่องนั้นเรื่องนี้มาบ่ายเบี่ยง มันทำให้ความชอบธรรมในการบริหารประเทศได้ก็ให้เกิดความสั่นครอนขึ้นมา

กอรปทั้งปัญหาความเป็นมุ้งในพรรคท่านเองได้ก่อหวอดเรื่อยมายากที่จะทำให้ทุเลาลงได้ ในเมื่อเสียงเเตกคอกันมากนักไฉนเราไม่ชิงยุบสภามันเสียเลยละ แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 90 วัน (หรืออาจจะน้อยกว่า)เพื่อไม่ให้ สส ภายในพรรคได้มีโอกาสขยับย้ายออกไป ต้องทนกล้ำกลืนอยู่กันอย่างงี้ต่อไป หนักมากนักก็ไม่ส่งมันลงซะเลยเป็นการลงโทษ ซึ่งกฏข้อบังคับนี้เองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ได้สร้างกำเเพงกั้นในการลงเข้าสู่สนามเลือกตั้งยามที่การยุบสภานั้นเป็นทางเลือกที่นายกใช้เเก้ปัญหา ผมมองในด้านของประชาชนเนื่องจากการยุบสภาเเบบฉุกละหุกอย่างนี้ การที่นักเลือกตั้งหน้าใหม่จะรวมตัวกันลงสู่สนามนั้นมีโอกาสเท่ากับศูนย์ และหากสมาชิกพรรคไม่ได้สังกัดพรรคถึง 90 วัน นี่ยังไม่ได้รวมข้อบังคับของการตั้งพรรคการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยข้อเเรกในการเข้าสู่สนามการเมือง ดังนั้นความหลากหลายมากหน้าหลายตาของนักเลือกตั้งที่จะให้ผมได้ยลโฉมก็เท่ากับลดย่อนไปอีก เท่าที่กะเอาคร่าวๆก็คือจำนวนนักเลือกตั้งทั้งหมดที่ให้ผมพิจารณาก็มีสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆที่ได้สังกัดพรรคการเมืองที่ก่อตั้งก่อนวันยุบสภานับถอยหลังไปเก้าสิบวัน

ถ้าท่านมีความจริงใจจริงไฉนเลยท่านไม่เป็นคนริเริ่มในการเเก้ไขรัฐธรรมนูญให้เรียบร้อยเสียก่อนเเล้วจึงยุบสภา แต่ผมก็ไม่ได้โกรธเเละเกลียดท่านหรอกเพราะผมเข้าใจพื้นฐานของคนที่ย่อมเห็นเเก่ตัวก่อนที่จะเผื่อเเผ่ไปสู่คนอื่น ถ้าเราๆท่านๆเข้าใจพฤติกรรมอันนี้เราคงทำใจและเข้าใจพฤติกรรมของนักการเมืองได้อย่างดี และตัวท่านเองก็จะได้เป็นสุข เลิกหวังลมๆเเล้งๆให้คนอื่นมาช่วย จะได้รับรู้กันเสียทีว่าตัวกู ทำเพื่อตัวกู เเละเพื่อผลประโยชน์สุขของตัวกู

5 Comments:

At 10:14 AM, Anonymous Anonymous said...

อย่าหาว่ามองโลกในแง่ร้ายเลย ผมไม่เคยคิดว่านักการเมืองจะทำเพื่อประโยชน์ของสังคมมากกว่าประโยชน์ของตัวเอง ก็ได้แต่หวังว่าคุณทักกี้จะไม่ return ซึ่งไม่รู้จะเป็นความหวังลม ๆ แล้ง ๆ รึเปล่า

สำหรับผม การเมืองเป็นธุรกิจสีเทา ไม่มีคนมือสะอาดอยู่หรอกครับ ต้องมือเลอะบ้าง ไม่มากก็น้อย

 
At 12:22 PM, Blogger The Iconoclast's Journey said...

ผมก็ไม่ได้คาดหวังอะไรมากนักกับนักการเมืองไทย เพราะโดยกำพืดเเล้วก็ยังรักษาผลประโยชน์ของตนเป็นที่ตั้ง (เเต่ก่อนอาจจะเคยคาดหวังไว้สูง)

จริงครับที่การเมืองนั้นมันเป็นสีเทา ไม่มีขาว ไม่มีดำ เเต่มันคงขึ้นอยู่กับสีที่เราใส่เข้าไปด้วยนะครับว่า เราใส่สีขาว หรือสีดำมากกว่ากัน

ประชาชนมีสิทธิ์ที่จะถือพู่กันคนละด้ามเเต่งเเต้มเติมสีลงไป แต่ถาดสีที่ท่านนายกได้หยิบยื่นให้กับประชาชน ณ ตอนนี้ เหมือนเต็มไปด้วยสีดำๆ ครั้นเเล้วยังบอกกล่าวอีกว่า นี่เป็นการคืนอำนาจให้กับประชาชน

เราๆเเละท่านๆเหมือนโดนมัดมือชกมีอยู่สองทาง เลือกเอาสีดำที่มีอยู่เเล้วป้ายมันต่อไป แล้วผืนผ้านั้นก็ดำขึ้นๆ เจ้าของภาพก็นั่งพล่ามเอาว่าดีๆ หรือไม่ก็ไม่ต้องไปเเต้มสีอะไรเพ่ิมเติม ซึ่งก็ยังคงความเทาๆ หม่นๆ เหมือนเดิม หากยังไม่มีการเปลี่ยนถาดสีใหม่

ซึ่งทางเลือกที่สามนั้นก็ลำบากเหลือเกินที่จะบังเกิดขึ้นได้ในเงื้อมือของท่าน

ป.ล. สมการคณิตศาสตร์ฉบับประชาชน "เหลี่ยม = ด้าน x ด้าน"

 
At 6:45 AM, Anonymous Anonymous said...

ตอนนี้เขาว่ามันเป็นทางตัน ก็ตันจริง ๆ นั่นแหละครับ คุณทักกี้ก็ควรจะไปแล้วครับ คุณมาร์คก็ไม่ได้เป็นทางเลือกดี ๆ อะไร (ถามว่านโยบายที่เป็น flagship ของเขาคืออะไร?) อีกทางเลือกหนึ่งก็เป็นสิ่งชำรุดทางการเมือง จะผู้เฒ่าวังไหน เจ้าพ่อสุพรรณบุรีหรือชาละวันเมืองพิจิตร เห็นแล้วก็ท้อใจ

ผมก็คิดเหมือนกันครับ การเมืองเป็นธุรกิจสีเทา แต่ปัจจุบันเฉดสีขาวมันหายไปหมดแล้ว เราจะเอาสีขาวจากไหนมาเติมครับ

 
At 9:10 PM, Blogger The Iconoclast's Journey said...

ก็คงต้องกลับมาดูกันที่ภาคประชาชนละครับ ถึงเเม้ว่าเราจะใช้เวลาปรับตัวกันนานซักหน่อย ลองผิดลองถูกเเต่มันก็เป็นปกติไม่ใช่เหรอครับ ภาคราชการน่าจะมีการปฎิรูปครั้งใหญ่เหมือนกันนะครับ อาจจะเริ่มทั้งระดับล่างเเละระดับบน ผมให้ความสำคัญเท่าๆกันนะครับ ผู้บริหารน่าจะเป็นตัวอย่างที่ดี กล้ายืนหยัดอยู่กับความถูกต้อง ถ้านโยบายใดมีผลเสีย กระทบกับสวัสดิการโดยรวม น่าจะกล้าออกมาเเย้ง ไม่ยึดติดกับตำเเหน่ง สร้างทัศนคติที่ดีในองค์กร โอยสารพัดจะคิดได้นะครับ ว่างๆเราน่าจะมีโอกาสได้คุยกันนะครับ ผมทิ้งเอ็มเอสเอ็นไว้ละกัน suppaleuk@hotmail.com

 
At 6:32 PM, Anonymous Anonymous said...

ถ้าจะให้ภาคราชการทำอย่างที่คุณพูดได้ ผมว่าภาคราชการจะต้องปฏิรูปตัวเองให้เป็น "มืออาชีพ" และ politically impartial คล้าย ๆ กับระบบของอังกฤษ แต่ปัญหาดันไปอยู่ที่ว่าค่าของคนอยู่ที่เป็นคนของใครไปซะอีก "-__-

สำหรับการเมืองภาคประชาชน ที่ผมเป็นห่วงที่สุดคือการที่พลังประชาชนถูก manipulate โดยกลุ่มที่มี hidden agenda ของตัวเอง อันนี้ผมว่าต้องระวังให้ดี

PS. ผม add MSN ไปแล้วนะครับ

 

Post a Comment

<< Home