Saturday, June 17, 2006

Summer Class

ใครว่าช่วงซัมเมอร์จะได้หยุดเที่ยวเล่นอย่างที่ชาวบ้านคาดคิด หารู้ไม่ว่าคนเขียนดันเเรดไปลงเรียนซัมเมอร์กะเค้าเอาไว้ด้วย ถึงเเม้ว่าจะเข้าไปนั่งซิทอินเฉยๆก็เหอะ อาจารย์เเกให้ทำพรีเซนต์หน้าชั้นเรียนเหมือน นร ที่ลงทะเบียนเรียนตามปกติ ตัดเกรดให้ดูต่างหน้าอีกด้วย ฮ่วย

คือวิชาที่ว่านี้มีชื่อว่า Political Economy and Development คือเรียนเรื่องราวของเเบบจำลองต่างๆของสถาบันทางการเมืองที่เหล่านักเศรษฐศาสตร์เเผนใหม่ (Institutional Economist) มึความเชื่อเเบบลึกๆว่าการกำหนดกฏกติกา หรือการสร้างสถาบันทางสังคมให้เข็มเเข็งเเล้ว ผลผลิตของนโยบายสาธารณะนั้นจะสามารถให้ผลตอบเเทนดังที่คนกำหนดนโยบายคาดหวังไว้ โดยถ้าหากมีการเปลี่ยนกฏ กติกา ในการมีส่วนร่วมทางการเมิองเเล้วไซร้ ผลลัพธ์ที่ได้ก็จะได้ไม่เหมือนกันทุกครั้้งไป

ในชั้นเรียนอาจารย์ที่สอนไม่ได้มาจากมหาลัยที่ผมเรียนอยู่ซักทีเดียว เเต่เป็นอาจารย์มาจากคอลเลจข้างๆที่มีชื่อเสียงทางด้านสายสังคมศาสตร์พอสมควร ใกล้ขนาดว่าเดินไม่ถึงห้านาทีก็ไปมาหาสู่กันได้ อาจารย์เเกชื่อ Brock Blomberg ย้ายมาจาก Wellesley College, MA ซึ่งก็เป็นคอลเลจที่ดังและดีมาก สไตล์การสอนในคลาสเเกก็เป็นไปเเบบง่ายๆไม่เน้นบรรยายเลยก็ว่าได้ เเกเลือกที่จะให้หัวข้อของเเต่ละคลาสมาเเล้วระบุผลงานทางวิชาการที่เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นๆให้ นศ ไปอ่านเตรียมตัวมาพรีเซนต์หน้าชั้นเรียนว่า มีความเป็นมาอย่างไร ในเเต่ละคลาสจำนวนของเปเปอร์ก็มากบ้างน้อยบ้างเเตกต่างกันออกไปตามหัวข้อ เเต่โดยเฉลี่ยเเล้วไม่ต่ำกว่าห้าเปเปอร์ บางครั้งมีนับสิบใครเลือกที่จะพรีเซนต์หัวข้อนั้นๆก็ต้องเลือกอันที่ตัวเองคิดว่าเข้าใจมากที่สุด เพราะเนื้อความสำคัญของผลงานวิชาการนั้นไม่ยากนักในการทำความเข้าใจ ส่วนที่ยากนั้นจะเป็นส่วนของเลขมากกว่าที่ทำให้งง

นศ เเต่ละคนก็มีเวลาในการพรีเซนต์เท่ากันคือสามชั่วโมง มีเบรคให้สิบนาที คุณจะพรีเซนต์อะไรก็พูดไปเลยจัดสรรเวลาเอาเอง ตัวผมนั้นเลือกที่จะพรีเซนต์โดยใช้ Power Point เป็นตัวช่วยทางเลือกสุดท้ายเพราะมีความรู้สึกว่ามันเหมือนเป็นการจดโน๊ตย่อๆกันลืมให้ตัวเองด้วย เลยเสียเวลาไปเกือบอาทิตย์ในการอ่านเปเปอร์เเล้วก็ทำ Power Point

หัวข้อที่ผมสนใจเเละเลือกที่่จะพรีเซนต์นั้นเกี่ยวกับ Dynamic Voting and Redistribution โดยผมเลือกผลงานเขียนของ Alesina and Rodrick เรื่อง Distributive Politics and Economic Growth (1994) เป็นเเบบจำลองหลักในการอธิบายถึงการกระจายรายได้กับการจำเริญเติบ
โตทางเศรษฐกิจ ซึงผู้เขียนเห็นว่าทั้งสองอย่างนี้มีความสัมพันธ์ที่ขัดเเย้งกัน โดยเฉพาะให้สังคมที่มีคนจนเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศย่อมต้องการความช่วยเหลือจากรัฐอย่างมาก โดยผ่านการจัดสรรนโยบายภาษีจากการเก็บภาษีคนรวยเเล้วจึีงเเจกจ่ายเงินภาษีที่ได้มาให้กับคนจน เเน่นอนการเก็บภาษีย่อมไม่เป็นที่ต้องการของคนรวยมากนักหากตนเองต้องทำงานอย่างหนักเเล้วต้องเสียภาษีให้กับรัฐ เพื่อนำเงินไปอุดหนุนคนยากจน อีกทั่งยังก่อให้มีการบิดเบือนทางเศรษฐกิจ เนื่องด้วยการจัดเก็บภาษีกับคนรวยนั้นย่อมก๋อให้เกิดการเปลี่ยนเเปลงพฤติกรรมในการสะสมปัจจัยทุนทางเศรษฐกิจในระยาวด้วย ซึ่งถ้าระดับอัตราภาษีอยู่ในระดับที่สูงมากเกินไปก็อาจจะทำให้ภาวะทางเศรษฐกิจหยุดชะงักได้

ผมคงไม่เขียนลงรายละเอียดของเปเปอร์นี้ผ่านบล็อคเพราะมันจะเป็นอะไรที่ลงในรายละเอียดมากเกินไป เอาเป็นว่าถ้าใครสนใจอ่านเปเปอร์นี้ฉบับ Power Point ก็ไปดาวน์โหลดกันได้ที่ เว็บ geocities ของผมได้ตามอัธยาศัย คลิ๊กที่ EC 329 เเล้วกัน เเต่ที่ผมอยากเขียนถึงอีกเเง่มุมนึงของการเอาเปเปอร์นี้ไปอธิบายก็คือถ้าในสังคมที่เราอยู่ยังมีความไม่เท่าเทียมกันระหว่าคนจนกับคนรวยอยู่เยอะ การที่รัฐจะหวังใช้นโยบายผลักดันด้าน ศก อย่างเดียวนั้นมีอันตรายต่อความขัดเเย้งระหว่างคนในประเทศอย่างสูง เพราะคนจนก็จะมีการต่อต้านต่อกลุ่มชนชั้นนายทุน มองตัวอย่างง่ายๆไม่ใกล้ไม่ไกลอย่างตอนนายกไทยคนปัจจุบันขายหุ้นเเล้วไม่เสียภาษีแล้วเป็นไง ผลักดันการเปลี่ยนเเปลงเเก้กฏหมายหลายต่อหลายครั้งที่มีส่วนช่วยให้เครือข่ายธุรกิจที่มีสามสมพันธ์อันเเน้นเเฟ้นกะท่านนายก ให้ได้กำไรสูงขึ้นสร้างช่องว่างระหว่างคนรวยกะคนจนให้มากขึ้นไปอีก กระเเสต่อต้านจากทุกสารทิศเป็นอย่างไร รัฐบาลไทยน่าจะเอากลับเอาไปทบทวยเป็นบทเรียนถึงความกระหายอยากรวยของผู้นำให้ผลลัพธ์เป็นอย่างไร รัฐควรหันกลับมาใส่ใจกับคนจนให้มากขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ อย่างน้อยเเสวทางการพัฒนา ศก ของในหลวงก็เป็นหนทางหนึ่งที่ผมเห็นว่าเป็นการเเก้ปัญหาความโง่ จน เจ็บในระยายได้ เเม้อาจจะไม่เห็นผลในระยะสั้นแต่เเนวทางการปฏิบัตินั้นเน้นถึงการพัฒนาความเป็นอยู่ของคนจนให้ดีขึ้น ซึ่งผลที่ตามมาคือช่องว่างระหว่างคนจนกับคนรวยจะเเคบเข้าหากัน ณ เวลานั้นผมมีความเห็นว่าการพัฒนา ศก จึงเป็นไปได้อย่างราบรื่น

สรุปเเล้ววิชาที่ผมเรียนตัวนี้ผมให้ไปห้าดาวเลย เป็นวิชาที่เนื้อหาสนุกเเละผมก็สนใจมากๆด้วย เวลาที่เหลือในคอร์สเวิคร์ของผมคงได้เรียนวิชาเเนวๆนี้อีเยอะ หลายๆคนคงเดาได้ว่าอีกหน่อยผมคงสนใจเขียนงานในเเนวไหน

Tuesday, June 13, 2006

Happy Birthday


ขอปันพื้นที่บล็อคส่วนตัวอวยพรคนเกิดวันนี้หน่อยละกัน คนไม่ได้เกิดวันนี้ก็ขอให้อานิสงค์ความสุขส่งต่อไปด้วย ปีนี้ครบรอบวันเกิดปีที่เท่าไหร่ผมรู้เเต่บอกไปคงโดนยำเเน่ๆ ไม่ว่าจะเป็นเพื่อนสนิทภาคบังคับ ภาคจำเป็น ภาคพิศดาร ก็ขอให้มีความสุขมากๆสวยวันสวยตืน ประสพความสำเร็จในหน้าที่การงาน และด้านอื่นๆ
ป.ล. ถึงไม่ได้เจอก็คิดถึง คงได้เจอกันตัวเป็นๆเร็วๆนะ

Wednesday, June 07, 2006

102.7 KIIS FM

เหตุเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อเช้าเเบบสดๆร้อนๆเลย ขับออกจากบ้านก็เปิดวิทยุตามปกติ แต่ที่ไม่ปกติก็คือผมเปลี่ยนช่องไปฟังคลื่นเพลงสดทางวิทยุ ซึ่งปกติเเล้วผมฟังเเต่ซีดีเอา เนื่องจากมันเปิดเพลงซ้ำกันเเบบทุกชั่วโมงน่าเบื่อมาก ใครทนฟังมันได้สามชั่วโมงคงร้องเพลงตามมันได้ไม่เเปลก (ใครว่ามีเเต่เมืองไทยที่เอาเเต่เปิดเพลงซ้ำมาเป็นประเทศเดียว อเมริกามันก็พอๆกัน หนำซ้ำอาจจะเเย่ซะกว่า)

ไอ้คนจัดรายการนี่มันชื่อ Ryan Seacrest ซึ่งผมว่ามันเป็นคนตลกมาก ปากจัด ถ้าใครอยู่เเถบๆเเอลเอก็คงมีโอกาศได้ฟังเค้าคนนี้จัดรายการบ่อยครั้ง (ถ้าใครไม่คุ้นหน้าก็ให้นึกเข้าไว้ว่าเป็นพิธีกร American Idol เข้าไว้)แล้วเค้าคนนี้ก็จะปล่อยมุขขำๆออกมาเรื่อยๆ อย่างเช่นปีที่เเล้วเนี่ย พอเค้าจัดรายการ American Idol เสร็จ เค้าก็พาเพื่อนไปนั่งกินร้านอาหาร Marie Callender's ผมจำได้คลับคล้ายคลับคลาว่า ไอ้เจ้า Ryan นี่มันเล่าว่ามันสั่งหอยเเมลงภู่มาจานหนึ่งกินกะเพื่อนที่เป็นผู้ชายสองคน เเบบเเชร์กันนะครับ มันยังเล่าได้ตลกว่า มันเเปลกตรงไหนวะที่มันจะสั่งหอยเเมลงภู่มากินกะเพื่อนชายมันสองต่อสอง ทำไมคนทั้งร้านต้องหันมามองด้วยสายตาส่งซิกว่าคู่เกย์มาเดทกัน

หนำซ้ำมันยังเล่าได้ว่าคนส่วนใหญ่ที่มากินในร้านนี่มันนะเด็กสุด เพราะจากการกวาดสายตาหาค่าเฉลี่ยอายุคนในร้านเเล้ว ณ ระดับความเชื่อมั่นที่สูงพอสมควร ทำให้เค้ากล้าที่จะสรุปฟันธงได้ว่าอายุเฉลี่ยไม่น่าต่ำกว่า 65 เป็นอย่างน้อย มันยังล้อเลียนต่อไปได้อีกว่าเห็นมากันเป็นคู่ๆ พอเริ่มคุยสั่งอาหารก็ต้องสูดอากาศจากถังอ๊อกซิเจนไปด้วย ไม่งั้นเดี๋ยวหัวใจวายตาย เเถมกินข้าวเสร็จก็ต้องถอดฟันปลอมมาล้างในเเก้วน้ำก่อนสั่งพายมาเป็นของหวานตบท้าย ดูในความปากจัดปนตลกของมัน ผมยังตามมันไม่ติด

นี่เเค่เรื่องเรียกน้ำย่อย เเต่เรื่องที่อยากจะเล่าสู่กันฟังนี่มันอีกเรื่องนึง คือเรื่องของเรื่องช่วงเช้าๆของเเต่ละวันในรายการ มันจะต้องมีช่วงเเกล้งคนอะไรประมาณนั้น เเล้วเช้านี้ก็ไม่พลาด เหตุของเรื่องมันก็คือว่า มีสาวใหญ่นามหนึ่งชื่อ Marina เเต่งงานกับชายหนุ่มนาม Diego จนเวลาล่วงมาเเล้ว 22 ปี ดันเกิดอาการสงสัยว่า เเฟนเสือกไปมีกิ๊กเนื่องจาก Diego มีพฤติกรรมเปลี่ยนไป

ไอ้กระทาชาย Ryan เลยจัดให้ มันมีเเผนให้สาวในออฟฟิสมันโทรศัพท์ไปหานาย Diego เเล้วเเกล้งทำเป็นว่าโทรมาจากบริษัทขายดอกไม้ในเมือง Anaheim, CA ทำการโปรโมทบริษัทโดยจะจัดส่งดอกไม้ไปให้ใครก็ได้ที่นาย Diego อยากส่งเเถมบริการส่งข้อความพิเศษผ่านทางการ์ดที่บริษัทเเนบไปให้กับผู้รับด้วย ในขณะที่บทสนทนาของคนทั้งสองหาได้จำกัดอยู่เเค่สองคนไม่ หากเเต่ยังมีคนอีกเป็นเเสนๆ รวมทั้งนาง Marina ฟังอยู่ด้วย

เเรกทีเดียวนาย Diego ก็ไม่เอาท่าเดียวเนื่องจากกลัวที่จะต้องเสียตังไปกับค่าธรรมเนียมต่างๆ เสมือนโดนเซลขายทางโทรศัพท์ เเน่ละครับก็ต้องปฏิเสธกันไว้ก่อน เเต่พอถามไปถามมาจนเเน่ใจว่าได้ฟรีเเน่ๆไม่ต้องเสียค่าไรทั้งสิ้น (อาจเสียค่าโง่ถ้าหลงกล)

หากนาย Diego ดันไปมีกิ๊กจริงเเล้วดันส่งดอกไม้ไปให้สาวกิ๊ก โทษสถานเดียวคือโดนประณามออกทางวิทยุเเน่ๆ เเถมเมียอาจเผ่นกระบานต่อหลังหลายการ ผมก็นั่งขับไปฟังมันต่อไปว่านายนี่มันจะส่งดอกไม้ให้ใคร นาย Diego มันก็เปรยๆกะตัวเองว่าในใจตอนนี้มันมีอยู่สองคนที่อยากให้เเต่ไม่รู้จะเลือกให้ใครดี คิดไปคิดมาเค้าก็เลือกได้ว่าส่งดอกกุหลาบหนึ่งโหลไปให้สาวนามว่า Veronica ดีกว่า ลงข้อความขอเเสดงความยินดีและให้ประสบความสำเร็จในชีวิต ลงท้าย รักนะ (เด็กโง่)จาก.......................พ่อ

เอากันซิครับอุตส่าห์นั่งลุ้นมาตั้งนานนึกว่ามันมีกิ๊กจริง แล้วส่งดอกไม้ไปให้สาวใหม่ งานนี้มีเฮเเน่ แต่กลับตาลปัตรไม่เป็นอย่างที่คิด เจ้า Ryan เลยเผยตัวเเถมย้ำเเล้วย้ำอีกว่าเป็นลูกสาวจริงเหรอ นาย Diego ก็งงซิครับ ไรวะไหนบอกเป็นบริษัทส่งดอกไม้ไหงมาเป็นรายการวิทยุได้ละ สาว Marina เลยเผยตัวออกมากขอโทษขอโพยผัวรักใหญ่ว่าผิดไปเเล้ว ฝ่ายผัวคงอึ้งไปเล็กน้อยไม่นึกว่าจะเจอมุขนี้เข้าไป เลยปลอบเมียรักใหญ่ ว่าลูกๆเเละเมียเป็นชีวิตของนาย Diego หากขาดเมียเเล้วลูกไซร้มันจะอยู่บนโลกใบนี้ได้อย่างไร ที่มันเปลี่ยนเเปลงเป็นคนเจ้าอารมณ์เพราะมันต้องเร่งทำงานเพิ่มชั่วโมงเพราะลูกสาวจบไฮสกูลจะต่อเข้ามหาลัย ลูกคนเล็กอีกคนก็กำลังขึ้นไฮสกูลเลยต้องปั๊มเงินกันหน่อย

ไอ้เจ้า Ryan มันยังบอกเลยมีคนอยากให้เป็นอย่างที่ผมคิดจริงๆ จะได้มีเฮกันกลางอากาศ สรุปเรื่องนี้ก็จบไปเเบบเเฮปปี้เอนดิ้ง คนทางบ้านก็บ้ากันไปกับเค้า โทรมากันใหญ่ว่า นาย Diego นี่ช่างเป็น Sweet Guy เหลือเกินรักบ้านรักครอบครัว อยากได้มาเป็นผัวจริงๆ ผมก็นั่งคล้อยตามกับนาย Ryan กะคนฟังทางบ้านไปสักครู่จนมาเอะใจ แล้วที่มันบอกว่ามีผู้หญิงสองคนให้เลือกเเต่ไม่รู้จะให้ใครดี ในเมื่อคนที่มันให้ดอกไม้เป็นลูกสาว เเล้วสาวอีกคนนี่จะเป็นใครหว่า ............