Saturday, November 26, 2005

Boredom, Travel, and Undisciplined Animal


รู้สึกช่วงนี้จะเป็นช่่วงที่ผมรู้สึกเรื่อยๆเอื่อยๆอย่างเเรง เหมือนสัตว์หมดเเรงกระตุ้นยังไงอย่างนั้น อยากอัพเดทบล็อคเเต่ก็ขี้เกียจ มีเรื่องในหัวมากมาย เช่น เรื่องราวระหว่างคุณสนธิกับคุณทักษิณ การลาจากโลกของ The Godfather of Management Peter F. Drucker (อันนี้ยืมคำพูดของคุณ BF มา) ระบบการคัดเลือกนักศึกษา เเต่จนเเล้วจนรอดผมก็ผลัดวันประกันพรุ่งมาได้เป็นอาทิตย์ อ่านหนังสือเรียนได้สองหน้าอย่างกับอ่านมาแล้วสองชั่วโมง หาวหวอดๆๆๆๆ ดังนั้นมันคงต้องหยุดพักสมองสักหน่อยหาที่ๆสบายผักผ่อนกัน

ไม่รอช้าเลยครับสถานที่ใกล้ๆที่พอจะสนองตัณหาคงเป็น San Diego เนื่องจากพอที่จะขับไปเช้าเย็นกลับได้ไม่มีปัญหา ใจจริงแล้วผมอยากไปนอนค้างเสียด้วยซ้ำเเต่ติดที่เพื่อนร่วมทริปชาวเกาหลีดันไม่อยากนอนค้างเนื่องจากมีปัญหาเรื่องบัดเจ็ด ผมกับเพื่อนอีกสองคนเลยต้องจำยอมไปเช้าเย็นกลับ เร่ิมทริปด้วยการที่ผมต้องไปรับเพื่อนสาวเกาหลีสองคนแต่เช้าแล้วออกเดินทางด้วยฟรีเวย์ 5 south ยาวถึง San Diego ไม่ต้องคาดเดาให้เมื่อยตุ้มตลอดทริบนี้ผมทำหน้าทีเป็นคนขับรถส่วนตัวให้เพื่อนต่างชาติไปเสียเเล้ว สองสาวเกาลีก็ทำหน้าที่เป็นเพื่อนร่วมทางได้ดีมากขี้นรถปุ๊บหลับปั๊บ โอช่างเยี่ยมจริงๆ

เเต่เดิมทีผมกะว่าจะไป Sea World แล้วค่อยต่อด้วยการชมเมืองเล็กๆน้อย เเต่ติดปัญหาทางเทคนิค ทริปนี้เลยเปลี่ยนเป็นนั่งรถเล่น กินลม ชมเมืองเเทน ไม่ว่ากันอยู่เเล้วขอให้ได้ออกไปจากพื้้นที่เเอลเอ ผมเป็นพอใจ เป็าหมายเเรกของเราคือ UCSD เนื่องด้วยวันที่เราไปนี้ตรงกับ Thanksgiving มหาลัยจึงปิดเเต่ไม่ใช่ปัญหาครับ เพราะผมอยากไปดูเเค่ห้องสมุดของ UCSD

ตัวตึกนี่ผมว่าออกเเบบได้เเปลกดีเหมือนรูปเพชรยังไงก็ไม่รู้ ห้องสมุดมีชั้นใต้ดินด้วยสงสัยห้องสมุดธรรมศาสตร์ไปก๊อบมาเเน่ๆ พวกผมก็ได้เเต่เดินรอบๆ ถ้ายรูปกันไป บรรยากาศรอบๆเเคมปัสนี่ดูเงียบสงบดีนะครับ อากาศก็ดีเย็นสบาย ตัวตึกเรียนดูไม่ค่อยเเออัดเหมือน UCI เราใช้เวลากันไม่นานเท่าไหร่นัก ก็ขับรถต่อกันไปที่ La Jolla

ก่อนที่จะเกริ่นถึงเมือง La Jolla นี่ผมว่าเรามาดูเกร็ดการออกเสียงตัว J กับ L ในภาษาสเเปนนิชกันก่อนดีกว่า อย่างที่เราทราบๆกันนะครับว่าดินเเดนฝั่งตะวันตกของอเมริกาเเต่ดั้งเดิมนั้นชาวสเเปนนิชกับชาวพื้นเมืิองอินเดียนเเดงเป็นผู้จับจองอยู่ก่อนแล้ว อเมริกาเพิ่งเข้าไปยึดครองมาได้ไม่กี่ร้อยปีมานี่เอง (ที่มาเเบบย่อๆเชิญหาอ่านได้ที่ http://www.californiahistory.net/) ดังนั้นจึงไม่เเปลกนักที่จะมีการใช้ภาษาสเปนมาตั้งชื่อสถานที่ต่างๆ เช่น Los Angeles, San Clemente, San Jose, San Macros, La Jolla รวมทั้ง San Diego ปัญหาของการเรียกชื่อคงไม่เท่าไหร่ถ้าเรารู้การออกเสียงของตัว J ในคำเหล่านี้ยกตัวอย่าง เช่น San Jose ออกเสียงว่า ซานโฮเซ่ Juan ออกเสียงว่า ฮูวอน ไม่ใช่ซานโจเซ่ หรือจูออนเป็นต้น ส่วนเสียงตัว L นี่ถ้าสังเกตดีๆเวลามีตัวเเอลสองตัวในศัพท์คำเดียวกัน เวลาออกเสียงมักจะออกเป็นเสียง ย หรือ Y เเทน ตัวเอย่างเช่นเมือง La Jolla เราออกเสียงกันว่า ลา ฮอลย่า เป็นต้น

เอาละครับวกกลับมาเที่ยวกันต่อที่เมือง La Jolla (ย้ำอีกทีนะครับว่า ลา ฮอลย่า) เป็นเมืองเล็กๆที่มีทางเดินชมเลียบชายฝั่ง และยังมีร้านค้าเล็กๆสไตล์น่ารักๆ และที่ผมชอบมาทีสุดคงเป็น Art Gallerty มีเป็นสิบๆร้านตลอดถนน ยังมีร้านอาหารสไตล์น่ารักๆ เเบบน่านั่งโคตรๆ คนดังๆในฮอลลีวู๊ดก็มานั่งกินกันบ่อยนะครับ ถ้ามีโอกาสได้มาเที่ยวก็อย่าลือมาเเวะกินลมชมวิวชายหาดละกัน สนนราคามีให้เลือกตั้งเเต่ $10-30 up แล้วเเต่กำลังทรัพย์ ผมใช้เวลาเดินชมเมืองกับชายหาดรวมเป็ดเสร็จชั่วโมงครึ่งได้ เล่ามาได้เกือบครึ่งทางเเล้ว เริ่มหิวซะเเล้วก็อาศัยถามพนักงานร้านกิ๋ฟช็อบว่าพอจะมีที่ไหนให้เราหาอาหารมากระเเทกปาก ได้ความมาว่ามีอาหารให้เลือกชิมมากมายที่เมืองเก่าซานดิเอโก้ แล้วค่อยขับเลยไปดูโรงเเรม Del Coronado แล้ววกลับเข้ามาดาวน์ทาวน์ซานดิเอโก้ ถ้านึผู้อ่านึกภาพไม่ออกว่าเมืองเก่าซานดิเอโก้กับดาวน์ทาวน์ซานดิเอโก้เป็นอย่างไร ผมอนุโลมให้คุณลองคิดถึงเมืองเก่าอยุธยากับถนนสีลมเข้าไว้ นั่นละครับประมาณนั้นเเหละ

ในตัวเมืองเก่าของซานดิเอโก้นั้นก็จะมี historic place ต่างกันไป สภาพเหมือนเป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีร้านรวงขอยของตลอดทั้งหมู่บ้านสลับไปมากับร้านอาหาร มื้อนั้นเราสามคนตกลงกันว่าจะกินอาหารเเม๊กซิกัน ว่าเเล้วพอหาที่จอดรถได้ผมก็ตรงดิ่งไปร้านอาหารเเม๊กซิกันร้านเเรกที่ผมเจอ ตอนเเรกผมว่าจะสั่ง combo taquitos and taco คิดไปคิดมาสั่งอะไรเเปลกๆดีกว่า ก็เลยลอง Chicken Monterey ดูเป็นเนื้อไก่หมักส่วนอกที่เอาไปย่างเเล้วราดซอสอะไรผมก็ไม่รู้โปะด้วยชีส ผมไม่ลืมทีจะสั่ง Chipotle ซอสพริกเผ็ดหอมๆกลิ่นพริกย่าง เสริฟพร้อมข้าวผัดสไตล์เเม๊กซิกันกับถั่ว เป็นอันว่ารอดตายไปอีกมื้อ หลังจากนั้นเราก็เดินย่อยอาหารกันอีกสักชั่วโมง ผมรู้สึกชอบมากกับสภาพความเป็นอยู่ที่ทางซิตี้ยังให้การอนุรักษ์เอาไว้ พร้อมทั้งยังส่งเสริมการท่องเที่ยวในเมืองเก่านี้อีกด้วย เนื่องด้วยตัวกระผมไม่ได้มีกล้องติดตัวไปด้วย จึงต้องจำนนเป็นตากล้องจำเป็นให้กับเพื่อนร่วมทริปสองคนไปโดยปริยาย

แล้วผมก็ขับรถลงมาทางใต้อีกสักระยะเพื่อมายังเกาะ Coronado เพื่อมาดูโรงเเรม Del Coronado โรงเเรมที่มีประวัติศาสตร์การเปลี่ยนมือมาอย่างโชคโชน และยังเป็นสถานที่ๆเหล่าประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาใช้เป็นที่พักอยู่บ่อยครั้ง เช่น Ronald Reagan, Bill Clinton กับคนอื่นๆ ตัวโรงเเรมสวยมากครับ โดยเฉพาะเวลาเดินเข้าไปในล๊อบบี้ของโรงเเรมดูขลังๆดี เหมาะเเก่การมาเวะชมมากเเต่ไม่น่าพักซักเท่าไหร่เพราะคนเอะอะจอเเจเยอะมากครับ ผมชอบความสงบเป็นธรรมชาติจึงขอเลือกพักที่อื่นจะเหมาะกว่า เราใช้เวลาไม่นานนักในการเเวะเวียนที่โรงเเรมนี้ จริงๆไม่อยากบอกว่ายืมห้องนำ้โรงเเรมเค้าใช้ แต่ก็เก็บภาพบรรยากาศให้กับสองสาวได้พอควร

มาถึงตอนนี้ผมเริ่มหมดเเรงซะเเล้วเหนื่อยมากๆ ตอนกลางคืนดันตื่นเต้นจะได้มาเสือกนอนไม่หลับนอนไปได้เเค่สี่ชั่วโมง ผมเลยตัดสินใจจะขับรถชมดาวน์ทาวน์กันเฉยๆ ไม่ลงไปเดินเเล้ว มีข้อน่าสังเกตอยู่อย่างนึงครับ ไม่รู้ว่าทำไมตามดาวน์ทาวน์ของเมืองต่างๆนี่ต้องมีชื่อถนนเหมือนๆกันหมดเลย อย่างเช่น 1st, 2nd, 3rd, Blah Blah Blah เเถมต่อให้อีกนิดนึงครับ Market กับ Broadway นี่ก็ยอดฮิต ขอผู้ใคร่รู้ช่วยชี้ทางกระจ่างด้วยจะเป็นพระคุณอย่างสูง และเเล้วผมก็นั่งคุมบังเหียนเจ้าสี่ล้อบังคับเจ้าหกสูบเเล่นกลับเมืองนางฟ้าราตรี ในขณะที่สองสาวก็เสมอต้นเสมอปลายตลอดทริป นิ่งเป็นหลับขยับเป็นเเดก ฮา แล้วเจอกันทริปหน้าครับ

ป.ล. เนื่องด้วยสาวๆยังไม่ได้ส่งรูปมาให้ ผมเลยหาเอาจากเน็ตเเปะๆให้ชมก่อนนะครับ

Friday, November 04, 2005

เรียนต่ออะไรดี


การตัดสินใจมาเรียนต่อเมืองนอกนี่จะว่าไปง่ายก็ไม่ง่ายจะว่ายากก็ไม่ยาก ถ้าเราตัดปัญหาเรื่องค่าเรียนไปแล้ว โจทย์ที่เราต้องตอบให้ได้คือเราจะมาเรียนอะไรดี แล้วเราจะได้อะไรจากสาขาที่เราจะเรียน ซึ่งผมว่าเป็นคำถามที่ต้องใช้เวลาพอสมควรในการตอบ แต่ถ้าเราหาคำตอบได้ผมว่ามันจะเป็นการเรียนที่สนุกพอควร จากการที่ได้ศึกษาที่อเมริกามาเป็นเวลาพอสมควร ผ่านการสอบมาทั้ง TOEFL, GMAT และ GRE รีเควสโบรชัวร์มหาวิทยาลัยมาอ่านเป็นร้อยๆ ผมก็อยากเขียนเล่าประสบการณ์คร่าวๆ เผื่อจะมีคนอ่านที่อยากมาศึกษาต่อได้เอาไว้เป็นข้อมูล

อุปสรรคด่านเเรกของนักเรียนไทยคงจะหนีไม่พ้นการสอบภาษาอังกฤษ ซึ่งก็แล้วเเต่ประเทศที่เราเลือกที่จะศึกษาต่อ ถ้าเราเลือกมาประเทศสหรัฐอเมริกา TOEFL Test นี่เหมือนเป็นช็อตบังคับที่ยากจะเลี่ยงได้ แต่ถ้าเป็นอังกฤษก็คงเป็น IELTS เเต่บางเเห่งก็อาจจะรับ TOEFL ซึ่งก็อยู่กับนโยบายการรับนักศึกษาของมหาวิทยาลัยนั้นๆ ด่านต่อไปที่ยังรอคอยให้เราได้ฟันฝ่าก็คงจะเป็นข้อสอบมาตรฐาน (Standardized Test) ของเเต่ละคณะ ผมว่าเเปดสิบเปอร์เซนต์ของนักเรียนไทยที่จะต้องเลือกก็คงเป็น GMAT หรือ GRE กล่าวอย่างหยาบๆในที่นี้ นักเรียนที่จะสมัครเข้าเรียนคณะบริหารธุรกิจ (Business Administration) ก็ต้องสอบ GMAT ส่วนนักเรียนสาขาทางด้านสังคมศาสตร์และวิทยาศาสตรืโดยส่วนใหญ๋ ก็ต้องสอบ GRE รายละเอียดของความเเตกต่างนี่ผมขอละเอาไว้ให้หาอ่านกันเอาเองในเว็บของ ETS ก็เเล้วกัน

พูดอย่างตรงไปตรงมาตอนที่ผมหาที่เรียนต่อตอน ป โท นี่ก็ตัดสินใจนานอยุ่เหมือนกันนะครับ เพราะตอนที่จบเศรษฐศาสตร์มานี่ผมยังมีคำถามข้องใจบางประการที่ผมไม่อาจจะยอมรับได้ในการใช้ทฤษฏีเศรษฐศาสตร์ในการอธิบายเรื่องราวต่างๆ ทำให้ผมคิดว่า ณ เวลานั้นเศรษฐศาสตร์ไม่ใช่ทางเลือกเเรกของผมเเน่ๆ ไอ้ที่จะให้ไปเรียนการบริหารธุรกิจเนี่ยก็คงได้นะครับ เเต่ใจอยากทำงานเกี่ยวกับการพัฒนา ขจัดความยากจน กับนโยบายสาธารณะ ผมก็หาไปเรื่อยละครับหาสักพักใหญ่ ก็เกิดมาสะดุดกับคณะนึงครับ ชื่อคณะนี่ตรงใจมาก ยิ่งได้อ่านโครงสร้างรายวิชา ยิ่งรู้สึกว่าตรงกับความต้องการส่วนตัว

ก็เป็น Department of Public Administration ที่เป็นคำตอบสุดท้่ายที่ผมเลือก ณ เวลานั้น ชื่อคณะก็บอกอยู่ตรงตัวอยู่เเล้วนะครับว่าเรียนเกี่ยวกับการบริหารและการจัดการภาครัฐ ชื่อของคณะนี่ก็มีเเตกต่างกันไปตามเเต่มหาวิทยาลัย อาจจะเป็น Public Affairs, Public Policy, Public Service หรืออะไรก็แล้วเเต่ โดยส่วนใหญ่เเล้วคณะนี้จะตั้งตัวออกมาเป็นเอกเทศ คือเป็นคณะคณะหนึ่งเลย แต่ก็อาจจะมีบ้างเหมือนกันที่จะไปอยู่รวมกับโรงเรียนเศรษฐศาสตร์หรือบริหารธูรกิจ อย่างที่ University of Michigan, Ann Arbor

โดยพื้นฐานของลักษณะวิชาพื้นฐานในคณะนั้นอาจพูดได้ว่าคล้ายคลึงกับคณะบริหารธุรกิจ เพราะตัววิชาการบริหารและการจัดการ พฤติกรรมขององค์กร การพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ แต่อาจจะต่างกันที่จุดเป้าหมายของการบริหาร ในเเง่ของ Public Administration การทำกำไรให้กับองค์กรคงไม่สามารถนำมาอ้างกล่าวได้ว่าเป็นเป้าหมายสูงสุดขององค์กร แต่กลับเป็นการบริการเพื่อตอบสนองกับความต้องการของประชาชนต่างหากที่เป็นเป้าหมายสูงสุด ภายใต้ระเบียบ ข้อบังคับ เเละกฏหมาย


ในรายละเอียดของวิชาเอกก็มีให้เลือกพอสมควร อย่างเช่น การบริหารและการจัดการทรัพยากรมนุษย์ การบริหารการเงิน การคลัง สาธารณะ การกำหนดนโยบายสาธารณะ อาชญวิทยา และอีกหลายๆด้าน ซึ่งถ้าใครสนใจที่จะเรียนด้านบริหารแต่ไม่ชอบเเสวงหาผลกำไรในการบริหารองค์กร เเต่ชอบการเห็นการอยู่ดี กินดี ของประชาชน มีใจรักงานราชการ คณะนี้ก็น่าจะเหมาะนะครับ ผมมีเว็บของ National Association of Schools of Public Affairs and Administration
NASPAA ซึ่งเป็นองค์กรรับรองสถาบันที่เปิดสอนทางด้านนี้ (บางมหาวิทยาลัยไม่ได้รับการรับรองเเต่ไม่ได้หมายความว่าไม่ดีนะครับ อย่างเช่น University of California, Los Angeles แต่รายวิชาในคณะนั้นยังไม่ได้สอนเป็นเเบบ Administration โดยตรง) เว็บนี้มีประวัติเรื่องราวขององค์กร ลำดับขั้นตอนของการให้การรับรองของสถานการศึกษา เเละที่ผมชอบมากก็คงเป็นเว็บที่รวบรวมเเผนที่ของมหาลัยต่างๆในสหรัฐอเมริกาที่เปิดสอนทางด้านนี้ทั้งหาสิบรัฐ ซึ่งก็เเค่คลิ๊กบนเเผนที่ของรัฐต่างๆทีระบุไว้ มันก็จะขึ้นรายชื่อมหาลัยมาให้เราลองคลิ๊กเข้าไปอ่านกันได้ ก็ฝากเอาไว้ให้ดูกันเล่นๆก็เเล้วกัน



ป.ล. จากที่ได้ประสบมานะครับ คณะนี้จะเน้นการถกเถียงในชั้นเรียนมากกว่าเรียนทฤษฏ๊เพียวๆ นักเรียนส่วนใหญ่มีอายุเฉลี่ยนทั้งทางด้านวัยวุฒิเเละประสบการณ์ทำงานค่อนข้างสูง ดังนี้นถ้าไม่เคยมีประสบการณ์ทำงานโดยตรงมาก่อน ก็อาจจะออกอาการเหวอๆได้เล็กน้อยนะครับ แต่จะดีอยู่อย่างคือได้ฝึกทักษะการพูด แล้วก็ได้ฟังประสบการณืทำงานของเพื่อนร่วมชั้น ซึ่งเพื่อนผมส่วนใหญ่ก็จะเป็น ตำรวจ นายกเทศมนตรี ข้าราชการ

Tuesday, November 01, 2005

วิวาทะประจำวัน

และเเล้ววันฮาโลวีนของพวกฝรั่งเขาก็มีอะไรๆให้เซอร์ไพรซ์กันอีกเเล้ว อะอะไม่ใช่สาวๆที่ประชันกันเเบบเอ็กซ์ๆตามผับตามบาร์อย่างที่ผมเคยชิน เเต่คราวนี้เป็นท่านผู้นำประจำบริษัทประเทศไทยจำกัดมหาชน ได้เอื้อนเอ่ยวาทะประจำวันปล่อยผีออกมาห่าใหญ่ ให้พนักงานระดับล่างสุดถึงระดับผู้บริหารระดับสูงภายใต้บริษัทนี้ได้พึงสังวรณ์ว่า ถ้ามึงไม่สนับสนุนกูมึงก็อย่าหวังได้มีความเจริญก้าวหน้าในสายงานเลย บางคนอาจจะไม่พอใจเเต่ทำอย่างไรได้ กว่าบริษัทนี้จะมีการเลือกคณะบริหารกันอีกรอบก็อาจจะต้องรอกันต่อไปอีกสามปี แล้วก็ไม่เเน่ว่ารอไปรอมาก็อาจจะได้คณะกรรมการชุดเดิมกลับมาคุมบังเหียนเหมือนเดิม

วาทะอันล่าสุดของท่านผู้นำอันล่าสุดนี้ผมได้ทำการคัดลอกเเบบคำต่อคำมาจากเว็บไซด์ผู้จัดการออนไลน์ ซึ่งท่านได้ให้สัมภาษณ์ ณ วันที่ 31ตุลาคม ที่โรงเรียนบรรพตพิทยาคม อ.บรรพตพิสัย จ.นครสวรรค์ “ผมตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม จังหวัดไหนมอบความไว้วางใจให้เราต้องดูแลเป็นพิเศษ แต่เราต้องดูแลคนทั้งประเทศด้วย แต่เวลาจำกัด ต้องเอาเวลาไปจังหวัดที่เราได้รับความไว้วางใจมากเป็นพิเศษ จังหวัดที่ไว้วางใจเราน้อยต้องเอาไว้ทีหลัง ไม่ใช่ไม่ไป คิวต้องเรียงอย่างนี้ ผมเป็นคนพูดตรงไปตรงมา เปิดเผย สื่อมวลชนอยู่ต้องเปิดเผย ไม่มีความลับสำหรับผม วันนี้คิดกับประชาชนอย่างไร ก็อยากเห็นคนทั้งประเทศไม่ว่าอยู่ที่ไหน เลือกหรือไม่เลือกผม ก็อยากให้ทุกคนหายจน แต่เนื่องจากเวลาจำกัดก็ต้องไล่ลำดับกันไป แต่เจ้าหน้าที่ก็ทำเหมือนกันหมดทั่วประเทศ”

ความหมายนัยสำคัญที่ผมพอจะใช้สมองที่เรียนมาไม่ค่อยสูงเมื่อเทียบกับท่านวิเคราะห์ได้ว่า บัดนี้ท่านประธานกรรมการเริ่มหมดความอดทนกับเเผนกบางเเผนกในบริษัท ที่เหมือนจะไม่รู้จักบุญคุณคนที่ท่านประธานอุตส่าห์เสียสละเวลามานั่งทำการบริหารบริษัทที่จะล่มไม่ล่มเเหล่จากพิษเศรษฐกิจ อุตส่าห์หาเงินมาโปรยให้ไม่รู้กี่ล้านต่อกี่ล้านให้พนักงานกวาดถูพี้นไปจนถึงพนักงานเก็บขยะได้มีเงินมีทองได้จับจ่ายใช้สอย แต่พอถึงเวลาที่ท่านต้องการให้ช่วยอะไรหน่อยกลับสะบัดตูดหันหลังให้อย่างไม่ไยดี

ท่านประธานคงลืมไปแล้วกระมังว่าประเทศไทยจำกัดในความคิดของท่านหาได้เป็นของคนผู้ใดผู้หนึ่งไม่ แต่เป็นขอบเขตดินเเดนบนพื้นเเผนที่โลกที่ดูจากชั้นบรรยากาศ มีลักษณะคล้ายขวาน เป็นที่ซุกหัวนอนของประชาชนตาดำๆกว่าหกสิบล้านคน มีทั้งคนที่จนมากไปจนถึงคนที่รวยมากจนติดอันดับของการจัดลำดับของนิตยสาร Forbes อยู่กระจัดกระจายกันไปส่วนต่างๆของขวานด้ามนี้ แล้วก็เป็นคนจนส่วนใหญ่เสียด้วยที่อยู่กระจายกันออกไปจากศูนย์กลางของขวานด้ามนี้ที่เราเรียกขานกันว่า"กรุงเทพมหานคร" ที่หวังว่าการที่พวกเขาเหล่านั้นได้พร้อมใจกันเลือกท่านเข้ามาดูเเลประเทศ ก็เพื่อที่จะทำให้ชีวิตความเป็นอยู่ของเขาดีขี้น

แต่เหตุการณ์กลับตาลปัตร เมื่อกาลเวลาผ่าน คนก็เปลี่ยน ท่านผู้นำประกาศอย่างชัดเจนว่าคนจนยังมีอยู่ท่านรู้ เเต่ท่านคงช่วยหมดทุกคนนั้นคงเป็นไปไม่ได้ ท่านก็ลำบากใจอยู่เหมือนกันว่าจะช่วยใครก่อนดี ดังนั้นท่านคงต้องเรียงลำดับลูกรักตามลำดับ ใครเป็นคนโปรดก็ได้ความรักไปก่อน ใครขัดใจท่านอยู่บ่อยๆก็รอไปก่อนเถอะ ถึงเเม้ท่านจะเป็นคนรักลูกเเต่ก็คงต้องเรียงลำดับตามความพอใจจากสูงไปหาต่ำ

แล้วท่านเคยคิดบ้างหรือไม่ว่าคนที่ควรจะได้โอกาสในการช่วยเหลือนั้นควรเป็นคนที่ได้รับโอกาสจากสังคมน้อยที่สุด เพื่อที่เขาเหล่านั้นสามารถมีชีวิตพื้นฐานที่ทัดเทียมกันกับคนอื่นๆในสังคม ไม่ใช่อยู่ดีๆไปตัดรอนบอกกับเค้าว่าผมก็อยากช่วยนะเเต่ทำไงได้คุณไม่ไว้วางใจผมเองนี่หว่า

จากการที่ได้นั่งคิดตรึกตรองมาได้สักพักผมก็เริ่มตระหนักถึงภาระของพนักงานในบริษัทประเทศไทยจำกัด ว่าคงต้องทำงานกันหนักอึ้งกันอีกเท่าตัว จะมานั่งหวังลมๆเเล้งๆว่าจะมีเงินตกลงมาจากท้องฟ้าให้จับจ่ายใช้สอยเหมือนสี่ปีก่อนคงไม่ได้เเล้ว คงต้องพึ่งสองมือสองเท้าที่พ่อเเม่ให้มาตั้งเเต่เกิด ก้มหน้าก้มตามุมานะทำงานสร้างเนื้อสร้างตัว ซึ่งถ้าเรามองในทางกลับกัน ผมกลับคิดว่าอาจจะเป็นการดีก็ได้ที่เราจะได้คิดพี่งพาตัวเองดีกว่าที่จะไปยืมจมูกคนอื่นมาหายใจ คงต้องขอขอบคุณวิวาทะประจำวันฮัลโลวีน 2005 ที่จะเป็นวาทะเตือนสติพนักงานในบริษัทประเทศไทยจำกัด