Monday, July 31, 2006

Gizmo Project


การมาอยู่เมืองนอกนั้นก็รู้ๆกันอยู่ว่ายิ่งนานวันก็อาจจะเกิดความเหงาขึ้นมาบ้างก็ได้ เพราะอยู่เมืองนอกให้ตายยังไงความมันส์คงไม่เท่าเมืองไทยถึงเเม้ว่าคุณภาพชีวิติในหลายๆด้านจะดีกว่าก็ตาม ทางออกหลายๆทางก็คงมีกันเเตกต่างกันออกไป เเต่ที่เป็นทางออกยอดฮิตคงหนีไม่พ้นการโทรศัพท์กลับเมืองไทย

ผมจำได้คลับคล้ายคลับคราว่าปีเเรกที่มานั้นบัตรโทรศัพท์ใบละยี่สิบเหรียญนั้นโทรเข้าโทรศัพท์บ้านที่กรุงเทพได้ประมาณห้าชั่วโมง แล้วนาทีก็เพ่ิมขั้นเรื่อยๆตามการเเข่งขันกันระหว่างผู้ขาย จนปัจจุบันนี้ราคาถูกสุดของการโทรศัพท์จากอเมริกาไปเมืองไทยตกอยู่ประมาณนาทีละหนึ่งเซนต์ แต่ก็ตามมาด้วยค่าธรรมเนียมต่างๆมากมาย เช่น ค่าต่อสาย การปัดเศษของนาที หรือภาษาฝรั่งว่า round up ซึ่งมันจะปัดเป็นสามนาที คือโทรหนึ่งนาทีมันก็คิดเป็นสามนาที ค่าบริการรายสัปดาห์ และอื่นๅอีจิปาถะ นี่ยังไม่ได้นับรวมว่าสัญญาณไม่ชัดบ้าง ไม่ดีบ้าง นี่ก่อความรำคาญอยู่เป็นนิตย์ เเต่ทำอย่างไรได้ก็ทนๆใช้กันไป

สองสามวันมานี้มีรุ่นพี่เเนะนำโปรเเกรมโทรศัพท์ผ่านคอมพิวเตอร์บนเครือข่ายอินเตอร์เน็ต ซึ่งระบบนี้คงมีมานานเเล้วอย่างพวก skype แต่ผมได้ยินเสียงบ่นกันขร่มถึงคุณภาพเสียงที่มีล่าช้าบ้าง มีเสียงเเทรกบ้าง เเต่กับตัวโปรเเกรมใหม่นี้ผมทดลองใช้มาสองสามวัน นับว่าเป็นที่น่าพอใจมาก ไม่ว่า่จะโทรเข้าบ้านหรือมือถือเสียงชัดมาก อาการสายหลุดดื้อๆ ณ ตอนนี้ยังไม่มี

ถ้าใครสนใจก็ลองไปดูกันได้ที่ มีให้ดาวน์โหลดหลายเวอร์ชั่นมากทั้ง Window, Mac, and Linux ใครรักใครชอบใครเเบบไหนก็เลือกเอา เเต่ผมเกลียดไทยรักไทยครับ

Monday, July 10, 2006

บอลโลก 2006

ยังคงนั่งทบทวนกับควันหลงเวิร์ดคัพ 2006 คิดไปคิดมาเวลาเกือบเดือนที่ผ่านมา เสียเวลากับการดูทีวีเป็นว่าเล่นบ้าขนาดหนักเเบบว่ารีบบึ่งรถออกจากบ้านไปมหาลัยตั้งเเต่หกโมงเช้าเพื่อไปให้ทันดูบอลเเมทช์รอบเจ็ดโมงก่อนเข้าเรียนตอนเก้าโมง ก็นั่งมันอยู่คนเดียวที่ห้องโถงของคณะ พวกพนักงาน อาจารย์เดินผ่านไปผ่านมาก็คงเห็นเป็นภาพชินตาว่ามันมานั่งดูอีกเเล้ว เดินผ่านกันไปมาก็ถามเป็นพิธีว่าใครเเข่งกับใคร สกอร์ไปเท่าไหร่เเล้ว แล้วก็จบกัน ช่างเป็นอเมริกันชนจริงๆ นอกจากกีฬ่าที่เค้าเรียกว่าฟุตบอล หรือที่คนไทยเราคุ้นหูว่าอเมริกันฟุตบอล คนอเมริกันเเทบจะไม่สนใจดูบอลกันเลย กติกาเป็นยังไง อ๊อฟไซด์เป็นไง ไม่มีใครรู้ รู้เเต่ว่าถ้าบอลเข้าตาข่ายกูเป็นเฮ

ไม่รู้ว่าจะรู้สึกไปเองรึเปล่าว่าบอลโลกคราวนี้ไม่สนุกซักเท่าไหร่ ขนาดติดตามมาเกือบทุกเเมทช์ ถ้าให้ถามว่าชอบเเมทช์ไหนเป็นพิเศษ คงคิดนานหน่อย ขนาดดูทีมที่ตามเชียร์อย่างอังกฤษ ทีมอย่างออลสตาร์บราซิล หรือทีมดาวรุ่งอย่างสเปน กลับไม่รู้สึกมันไปกับเกมสักเท่าไหร่ อาจจะเป็นไปได้หลายกรณี อย่างที่พอจะนึกออกเป็นอย่างเเรกก็คือ เกือบทุกทีมที่เป็นทีมยักษ์ใหญ่นั้น ไม่ได้มีทีมไหนเเตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ ต่างทีมต่างเล่นบอลเเต่ละเเมทซ์เหมือนหาจุดยืนของทีมยังไงไม่รู้ คนเป็นโค้ชคงเครียดน่าดูว่าจะจัดทีมยังไงให้ลงเล่นเเล้วชนะ เเต่คนที่มีอารมณ์เเละเครียดมากกว่าคือคนดูอย่างเราๆ ท่านๆ ที่ตามดูเชียร์ทีมรักเเล้วเกิดของขึ้นว่าเเม่งเอ้ยทำไมไม่เอาตัวนั้นลงแล้วถอดไอ้นั่นออกวะ คิดเเล้วฮาเครียด

อีกประการนึงที่ขาดไม่ได้คือกรรมการตัดสิน ตั้งเเต่เกิดมาเล่นบอลเป็นดูบอลเป็นจริงเป็นจังไม่เคยดูเเล้วอารมณ์เสียกับพวกกรรมการกับไลน์เเมนได้ขนาดนี้มาก่อนในชีวติ พับผ่าซิเป่าเกมส์ก็ช้า ตัดสินน่ากังขา วิ่งกำกับเกมไม่ดูตาม้าตาเรือ อย่างกะอยากจะเป็นนักเตะคนที่สิบสองให้ได้อย่างไรอย่างนั้น จังหวะที่ไม่น่าจะล้ำหน้ากลับให้เป็นล้ำหน้า จังหวะล้ำหน้ากลับปล่อยเเล้วหลายครั้งเหมือนกันที่กรรมการพลาดไปแล้วกลายเป็นจุดเปลี่ยนเกมส์ ที่กลายเป็นประตูที่น่ากังขายิ่งนัก ยิ่งผ่านเข้าไปรอบลึกๆเเล้วก็ได้เเต่ทำใจ

อารมณ์เชียร์ยิ่งหมดไปเมื่ออังกฤษทีมรักตกรอบไปเเบบน่าถีบคนเลือกยิงลูกโทษ เลือกมาได้เเลมป์พาร์ด เจอร์ราด อดีตมีอยู่เห็นๆว่าไม่ควรเลือกสองตัวนี้มาเเม้จะมีบุญเก่าหนุนหลังก็เถอะ ก็ทำใจกันไป เเมทช์ที่เหลือนี่เหมือนดูตามหน้าที่ที่ต้องทำมากกว่า ไหนๆก็ไหนๆเเล้วสี่ปีมาที จะหยุดดูไปเลยก็กระไรอยู่ เเมทช์สุดท้ายนัดชิงชนะเลิศก็คงจะรู้กันไปเเล้วว่าอิตาลีได้ครองเเชมป์บอลโลกปีนี้ไปครองด้วยสกอร์ในเวลาปกติ 1-1 แล้ววัดดวงกันไปด้วยจุดโทษ 5-3

สรุปเอาว่าดูบอลโลกหนนี้ก็คงทำให้เข้าใจชีวิติเกมส์ลูกหนังอีกระดับ มีขี้นย่อมมีลงคงไม่มีทีมไหนจีรังยั้งยืนเเม้เเต่เเชมป์โลกห้าสมัยอย่างบราซิลยังรู้พลั้ง ทีมเล่นเกมส์อุดอย่างอิตาลียังเป็นเเชมป์ได้ เอาเป็นว่าสี่ปีข้างหน้าคงได้กลับมาลุ้นกันใหม่พร้อมติดตามความเปลี่ยนเเปลงกฏเกณฑ์ฟุตบอลที่จะมีการใช้เทคโนโลยีมาช่วยในการตัดสินหรือไม่ หรือฟีฟ่ายังคงจะย่ำอยู่กับที่ปล่อยให้ความผิดพลาดของมนุษย์ปุถุชนเป็นส่วนหนึ่งของเกมส์ลูกหนังต่อไป