Monday, February 27, 2006

News Article

I've copied and pasted this quote from manager's website. This is an interview from old lady, living in Northeastern of Thailand. I'm very impressed and want to share with you guys. Enjoy!



จากที่เคยน้อยอกน้อยใจที่มักถูกคนภาคอื่นๆ มองว่าเป็นคนโง่เขลาเบาปัญญา รับเงินจากนักการเมืองในการเลือกตั้งแต่ละครั้งๆ ครั้นพอได้ฟังและเห็นลีลาของผู้เฒ่าวังน้ำเย็นในครั้งนี้ หลายคนถึงกับมีความรู้สึกดีขึ้น พร้อมยืนยันคนอีสานไม่ได้โง่ หากแต่เป็นเพราะฐานะที่ยากจนต่างหากที่เป็นสาเหตุของภาพลักษณ์ดังกล่าว

"บอกได้ว่ามันโล่งไปเปราะหนึ่งเลยนะ ได้ฟังแล้วก็ค่อนข้างจะชื่นใจ..." เสียงบอกเล่าจากผู้ชุมนุมหญิงวัยกลางคนที่เป็นชาวอีสานคนหนึ่ง โดยเจ้าตัวบอกว่าที่ผ่านมาคนอีสานมักจะถูกคนภาคอื่นๆ มองว่าเป็นคนไมที่ไม่มีสมอง ใครให้เงินมาก็รับ ซึ่งตนเองยอมรับว่าจริงเพียงแต่อยากจะให้เข้าใจว่าสาเหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เป็นเพราะเรื่องของความยากจนนั่นเอง

"ไม่ใช่ว่าเราโง่หรืออะไร แต่บางทีมันอดอยากจริงๆ ใครให้เรามาสิบบาทยี่สิบเราก็รับ แล้วอีกอย่างมันก็เป็นเพราะนิสัยส่วนตัวของคนอีสานที่แบบว่าขี้เกรงใจ ทีนี้พอเขาให้เราแล้วก็มันก็เลยดูว่าเป็นเรื่องของการมีบุญมีคุณกัน ก็เลยเลือกกัน"

"แต่ถามว่าพวกเราพอรู้มั้ย ป้าบอกเลยว่าพอรู้ คิดดูใครกันมันจะเอาเงินมาให้เราฟรีๆ เพียงแต่ว่าตอนรับน่ะเราได้เห็นๆ แต่ตอนที่พวกเขาไปกินไปโกยกัน มันไม่ได้มีผลกระทบกับเราอะไรมากมาย เราไม่เห็น คนอื่นอาจจะมองว่าเรารับเพราะเราโง่ แต่ถ้าเป็นคนบ้านป้านะ ใครไม่รับนั่นแหละโง่ คือรับก็จน ไม่รับก็จน แล้วยังไง"

ยอมรับมีบางส่วนที่ไม่อาจจะไม่มีความรู้จริงๆ แต่กับปัจจุบันน่าจะเป็นส่วนน้อย พร้อมวอนให้คนอื่นเข้าใจคนอีสานมากยิ่งขึ้น
"เรื่องไม่รู้เรื่อง เรื่องโง่ มันก็มีอยู่แล้ว ก็แหม เราไม่ได้เรียนสูงไม่ได้อะไรนี่ แต่ตอนนี้ป้าว่ามันดีขึ้นกว่าเก่ามากแล้วนะ อย่างเท่าที่เห็นแถวๆ บ้านพี่ เลือกตั้งครั้งที่แล้ว ปรากฏว่ารับเงินกันเป็นแถวๆ แต่พอคะแนนออกมา มันน้อยกว่าที่น่าจะได้ เล่นเอาหัวคะแนนเกือบแย่ไปเหมือนกัน"

"ถ้าถามป้า ก็อยากให้คนอื่นๆ เข้าใจคนอีสานขึ้นนั่นแหละ ว่าเราไม่ได้อยากจะสร้างปัญหาด้วยการเลือกคนไม่ดีเข้ามาหรอก แต่ว่ามันไม่มีทางออกจริงๆ เพราะเราก็ต้องกินต้องใช้ เรื่องปากเรื่องท้องทั้งนั้น"

Friday, February 24, 2006

ยุบสภาเพื่อประชาชนหรือเพื่อตัวกู


เช้าของวันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ ตามเวลาเเคลิฟอร์เนีย ตื่นขึ้นมาด้วยความรู้สึกเดิมๆเอียนอ่านข่าวการเมืองยังไงชอบกล ประกอบกับวันก่อนหน้านั้นดันสอบอีโคโนเมตริกยังมึนไม่หาย เดินไปเปิดคอมทิ้งไว้แล้วเข้าห้องน้ำด้วยความรู้สึกเอียนๆมึนๆ เเปรงฟันล้างหน้าเสร็จออกมา นั่งเช็คเมล์ไปได้สักพักหันไปอ่านบล็อคไอ้เเบคทีเรียดีกว่า

ตาตื่นเลยครับเห็นมันโพสอะไรเเปลกๆว่า นายกยุบสภาเเล้ว ไอ้เราก็เฮ้ยเเม่งไหนมันบอกว่าต้องรอชาติหน้าถึงจะยุบไง ไหงมันถึงได้ยุบเร็วเเบบนี่วะ ไม่อยากตามอ่านก็ต้องอ่านละคราวนี้ ก็นั่งอ่านเเบบผ่านๆพอให้เชื่อใจได้ว่านายกได้ยุบสภาแล้วจริงๆ ก็ได้มานั่งหงุดหงิดกับตัวเองต่อ

เหตุผลหลักๆที่ท่านได้เเจ้งไว้ในการยุบสภาก็คือท่านรักเเละเคารพการปกครองในระบอบประชาธิปไตย ในเมื่อสภามีปัญหา กลุ่มบุคคลเล็กๆบางกลุ่มก่อปัญหาเล่นเกมส์นอกสภา ท่านก็เลยตัดสินใจคืนอำนาจให้ประชาชนตัดสินใจอีกทีในวันที่ 2 เมษายน นี้ ให้รู้กันไปเลยว่าถ้ายังอยากให้คนชื่อทักษิณกลับมารับใช้ท่านต่อก็เลือก ถ้าไม่พอใจก็อย่าเลือกผม ผมก็จะได้ไปทำอย่างอื่น

คำถามของผมเกี่ยวกับการยุบสภาครั้งนี้เริ่มผุดขึ้นมาโดยอัตโนมัติ การกระทำของนายกครั้งนี้เป็นการทำเพื่อประชาชนจริงรึเปล่า แล้วเรื่องที่โดนภาคประชาชนตั้งคำถามเกี่ยวกับจริยธรรมทางการเมืองนั่นอีกเล่า จะให้ผมเชื่อโดยสนิทใจได้อย่างไรว่าท่านทำเพื่อประชาชนโดยเเท้จริง ในเมื่อท่านไม่เคยตอบข้อกล่าวหาดังกล่าว เเถมยังสร้างข้อสงสัยให้กับประชาชนอย่างผมให้เคลือบเเคลงเพิ่มขึ้นอีกในกรณีขายหุ้น 70,000 หมื่นล้านอีก ดังนั้นคงไม่เเปลกอะไรที่ผมจะตั้งสมมติฐานในการวิเคราะห์การยุบสภาของท่านนายกคนนี้เป็นอื่นไกลไปไม่ได้นอกจากเป็นการกระทำเพื่อตนเอง

คำพูดของท่านเองที่กล่าวย้ำผ่านทางสื่อต่างๆมากมายว่าจะไม่ยุบสภาเด็ดขาด การยุบสภาเพื่อให้ผมมีความได้เปรียบทางการเมืองนั้นไม่ใช่วิธีของผม หรือไม่ก็ถ้าผมจะยุบสภา ผมจะบอกกันล่วงหน้าก่อนเลย 90 วัน จะได้เเฟร์ๆ เล่นกันตรงๆ แล้วไหงน้ำลายที่พ่นออกจากปากมันถึงได้วกกลับมาตกที่หน้าท่านเอง

ท่านไม่ใช่คนเเรกที่ใช้การยุบสภาเป็นทางออกทางเเรกให้กับตัวเอง ถ้าเราอ่านศึกษาประวัติศาสตร์การเมืองมาบ้างก็พอจะรู้ว่านายกหลายท่านก็ได้ใช้วิธีเดียวกันนี้เป็นการเเก้ปัญหา เหตุผลที่อ้างเพื่อความชอบธรรมเเละทำให้ดูดีในสายตาประชาชนก็คือเพื่อคืนอำนาจให้กับประชาชน วกกลับมาดูที่ระบบรัฐสภาของบ้านเรา ณ. ตอนนี้ถ้าถามว่ามันมีปัญหามั๊ย ก็คงต้องบอกว่ามี แต่ปัญหานั้นเกิดขึ้นมาจากตัวรัฐสภาเองหรือปัญหามันเกิดมาจากผู้คุมเสียงในสภา เป็นประเด็นที่ผมเห็นว่าเราควรจะใส่ใจเพราะเราจะได้เเก้ปัญหาได้ตรงจุด

ฝ่ายรัฐบาลนั้นครองเสียงข้างมากฝ่านเดียวในสภา ท่านอยากจะดันเสนอกฏหมายไหนให้ผ่านก็ย่อมทำได้ ฝ่านค้านก็คงทำได้เเต่ยกมือให้ครบว่าไม่เห็นด้วย แล้วกฏหมายก็ได้มติเอกฉันท์ว่าผ่านอยู่วันยันค่ำ ถ้ากฏหมายเเต่ละฉบับนั้นออกมาเพื่อประโยชน์สุขของคนในชาติ มีรึที่คนจะไม่สรรเสริญ ท่านกลับจะได้รับความไว้วางใจในการบริหารประเทศต่อไปตราบที่ท่านต้องการ แต่กาลหากลับได้เป็นเช่นนั้นไม่ ท่านนายกทักษิณออกกฏหมายต่างๆเพื่อผลประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ ของท่านเเละหมู่วงศาคณาญาติ นั่นเป็นจุดก่อของปัญหาต่างๆ ต่างหาก ที่หลายๆฝ่ายต้องการการตรวจสอบอย่างโปร่งใสและจากคำตอบจากท่านผู้นำ แต่ท่านไม่เคยออกมาให้คำตอบอย่างจริงๆจัง อ้างเรื่องนั้นเรื่องนี้มาบ่ายเบี่ยง มันทำให้ความชอบธรรมในการบริหารประเทศได้ก็ให้เกิดความสั่นครอนขึ้นมา

กอรปทั้งปัญหาความเป็นมุ้งในพรรคท่านเองได้ก่อหวอดเรื่อยมายากที่จะทำให้ทุเลาลงได้ ในเมื่อเสียงเเตกคอกันมากนักไฉนเราไม่ชิงยุบสภามันเสียเลยละ แล้วจัดให้มีการเลือกตั้งภายใน 90 วัน (หรืออาจจะน้อยกว่า)เพื่อไม่ให้ สส ภายในพรรคได้มีโอกาสขยับย้ายออกไป ต้องทนกล้ำกลืนอยู่กันอย่างงี้ต่อไป หนักมากนักก็ไม่ส่งมันลงซะเลยเป็นการลงโทษ ซึ่งกฏข้อบังคับนี้เองภายใต้รัฐธรรมนูญฉบับ 2540 ได้สร้างกำเเพงกั้นในการลงเข้าสู่สนามเลือกตั้งยามที่การยุบสภานั้นเป็นทางเลือกที่นายกใช้เเก้ปัญหา ผมมองในด้านของประชาชนเนื่องจากการยุบสภาเเบบฉุกละหุกอย่างนี้ การที่นักเลือกตั้งหน้าใหม่จะรวมตัวกันลงสู่สนามนั้นมีโอกาสเท่ากับศูนย์ และหากสมาชิกพรรคไม่ได้สังกัดพรรคถึง 90 วัน นี่ยังไม่ได้รวมข้อบังคับของการตั้งพรรคการเมืองซึ่งเป็นปัจจัยข้อเเรกในการเข้าสู่สนามการเมือง ดังนั้นความหลากหลายมากหน้าหลายตาของนักเลือกตั้งที่จะให้ผมได้ยลโฉมก็เท่ากับลดย่อนไปอีก เท่าที่กะเอาคร่าวๆก็คือจำนวนนักเลือกตั้งทั้งหมดที่ให้ผมพิจารณาก็มีสมาชิกพรรคการเมืองต่างๆที่ได้สังกัดพรรคการเมืองที่ก่อตั้งก่อนวันยุบสภานับถอยหลังไปเก้าสิบวัน

ถ้าท่านมีความจริงใจจริงไฉนเลยท่านไม่เป็นคนริเริ่มในการเเก้ไขรัฐธรรมนูญให้เรียบร้อยเสียก่อนเเล้วจึงยุบสภา แต่ผมก็ไม่ได้โกรธเเละเกลียดท่านหรอกเพราะผมเข้าใจพื้นฐานของคนที่ย่อมเห็นเเก่ตัวก่อนที่จะเผื่อเเผ่ไปสู่คนอื่น ถ้าเราๆท่านๆเข้าใจพฤติกรรมอันนี้เราคงทำใจและเข้าใจพฤติกรรมของนักการเมืองได้อย่างดี และตัวท่านเองก็จะได้เป็นสุข เลิกหวังลมๆเเล้งๆให้คนอื่นมาช่วย จะได้รับรู้กันเสียทีว่าตัวกู ทำเพื่อตัวกู เเละเพื่อผลประโยชน์สุขของตัวกู

Friday, February 17, 2006

Falcon Waterfree Technology


These days, I'm very impressed and interested in urinal. In Thailand, I have seen many urinals, for example, in the kindergarten where we have a long rail urinal with continuous water flush (They emit water to wash all the time or to say the least sometime), urinal with water flush (both manually and automatically when we finish urinate), and the cheapest way to urinate is to do it everywhere where nobody can see us .

In the states where I have been living for almost 5 years, I have seen the same urinal fixture as I explained above. Generally speaking, I see another different urinal in California Institute of Technology (Cal Tech or CIT), which is the same urinal falling under the second category, but whenever we finish urinating. The system will flush all the urinals no matter the urinal is in use or not (it's such a waste of water resource, isn't it? Can you believe that? Prabably, Cal Tech is a hi-tech school, so they don't mind about environment). As you can see, we have to use tons of liters of water to clean the urinal.

Recently, I found a new urinal in my university. It's called "Falcon Waterfree Technology" in which water is not use to flush and clean the urinal. It's bited my curiousity immediately, which leaded me to do research more on its official website.

For anybody who interested how it works, please feel free to fool around on its website. It contains the new technology information including what the are the main components of a new urinal, how can we save lots of money by buying 400-dollar urinal?,the price for the urinal. Why this new technology will benefit to ours? To answer this question you might or might not know in your mind that it will save tons of clean water, save lots of man power, save time, and so forth. If you feel that you are the person who is always skeptical in the new line of invention and will not bite any words from others' words, please do your study and look for it. Its website also provides the study from leading prestigious university.
The Cartridge


Inside The Cartridge


Basically, It uses the cartridge which works out as a funnel containing some chemical sticky fluid to block our urine to go reverse. Since our urine is lighter than water, it will pass through this layer of liquid and go down to the drain pipe. The sticky liquid also works out as a deodorant. The only maintainace that we need to do is to clean the fixture and change the cartridge 3-4 times per year (based on what it said on the website). I attached the picture of this urinal which may look no different from what we have now.


US model


International model


P.S. This might be one of the ways to start your own business by buying its patent to sell this product in Thailand. Go ahead and use whatever connections you have to get monopolistic power from Thai government to make more profit and be the rich businessman. Be the politishit!

Sunday, February 12, 2006

คนเลี้ยงหมา


ตั้งเเต่เด็กจนโตชีวิตผมเรียกได้ว่ามีหมามากหน้าหลายพันธุ์ผ่านเข้ามาในชีวิต จำได้ว่าหมาตัวเเรกๆที่ผมสามารถขี่หลัง จับหู ตบปากมันได้นี่เป็นพันธุ์โดเบอร์เเมนชื่อไอ้เเมค เเม่ผมเล่าให้ฟังว่ามันเป็นหมาที่รักผมมาก เปรียบเสมือนพี่เลี้ยงก็ว่าได้เนี่องจากมันจะคอยระเเวดระวังไม่ให้คนเเปลกหน้ามาจับหรืออุ้มผม ซึ่งความซึ่อสัตย์เเละรักเจ้าของของมันนี่นอกจากจะเป็นลักษณะเฉพาะของหมาพันธุ์โดเบอร์เเมนเเล้ว ผมสันนิษฐานเอาว่าคงเป็นลักษณะเฉพาะตัวของหมาตัวนั้นด้วย และขึ้นอยู่กับการเลี้ยงของเจ้าของว่าให้ความรักเอาใจใส่อย่างไร สุดท้ายด้วยความสื่อสัตย์เเละภักดีของมันอาจจะทำให้ใครบางคนไม่ชอบขี้หน้ามัน ไอ้เเมคของผมก็โดนวางยาเบื่อตาย

หมาตัวถัดมาที่บ้านผมเลี้ยงนี่เป็นพันธุ์อัลเซเชี่ยนหรือภาษาทางการที่เค้าเรียกกันว่าเยอรมันเชฟเพริด คราวนี้มีมาให้เลือกสองตัวเลยจำได้ว่าเจ้าตัวใหญ่นี่ชื่อโจโจ้ ตัวมันใหญ่มากตามมาตรฐานเยอรมัน ส่วนอีกตัวนี่ตัวเล็กกว่าเยอะเลยเเต่สวยมากเป็นพันธุ์อัลเซเชียนสายกระรอก ทั้งสองตัวนี่ก็มีความซื่อสัตย์ภักดีไม่เเพ้เจ้าเเมค เเต่วีรกรรมปกปักษ์รักษาผมคงไม่เท่าเจ้าเเมคเท่าไหร่

ตัวสุดท้ายที่ผมค่อนข้างรักมากนี่เป็นพันธุ์อเมริกันพิทบูลเทอร์เรีย ตัวนี้เนี่ยผมพูดได้เต็มปากเต็มคำว่าเลี้ยงมากับมือ จะเรียกว่ารักมากที่สุดก็ว่าได้ เพราะผมเลี้ยงมันตอนที่ผมอายุประมาณ 14-15 เริ่มมีความผูกผันกับสิ่งที่อยู่รอบข้างมากขึ้น ผมให้ข้าวให้น้ำ เลี้ยงด้วยนมวัวกล่องใส่ไข่ลวก อาบน้ำ ล้างกรงหมา เอาขี้มันไปทิ้ง และอื่นๆอีกมากมาย ผมเคยลองทดสอบดูเล่นๆโดยให้คนที่บ้านเข้ามาเขย่าตัวผม ผมก็เเกล้งร้องดังๆ ประมาณว่าสำออยว่ากูกำลังโดนฆ่า ปรากฎว่าสันชาตญาณความรักเจ้าของๆมันนี่ บอกให้มันเห่า ขู่กรรโชก เเสดงอารมณ์ของมันออกมาว่า มึงเปล่าเจ้านายกูซะ (อันนี้ไม่ได้เข้าใจภาษาหมานะครับ เเต่คงตีความเป็นอย่างอื่นไม่ได้ เรื่องบางเรื่องภาษาก็มิใช่ปัจจัยสำคัญในการสื่อสาร หากเเต่ใช้ความรู้สึกในการรับรู้เเทน)

อันนี้เเค่ระดับเรียกน้ำย่อยเท่านั้นนะครับ ที่จริงบ้านผมยังมีหมาอีกหลายตัวต่อคิวให้ผมเล่าเรื่องอีกเยอะ เเต่ติดที่ว่าผมคงไม่มีเวลาสาธยายสรรพคุณของเเต่ละตัวได้หมด เเต่หมาตัวถัดไปที่ผมอยากจะเล่าให้ฟังเนี่ย ผมไม่ได้เลี้ยงเองนะครับ เพียงเเต่ว่าได้เห็นมาเป็นเวลานานเเล้ว จำได้ครั้งเเรกที่เริ่มจำความได้เนี่ยมันได้อยู่บ้านของประชากรไทยมาเป็นเวลาพอสมควร (ก่อนหน้านี้เคยอยู่ที่อื่นมาก่อน) เสียงเห่าหอนของมันนี่ก่อให้เกิดความรำคาญไปทั่ว เห่าไม่เลือกหน้ากัดไม่เลือกที่ สร้างความเอือมระอาให้กับผู้ที่พบเห็นพอสมควร อาจเรียกได้ว่าเป็นหมาปากเปราะที่ไม่มีเจ้าของคอยดูเเล เฝ้าสังเกตุอยู่นานพอสมควรว่ามันเป็นพันธุ์อะไร ก็ไม่เเน่ใจสักทีว่าจะฟันธงเเบบหมอลักษณ์ ฉับ ฉับ ได้อย่างไร

พักหลังๆยิ่งเเล้วใหญ่เร่ร่อนย้ายบ้านไปเรื่อย ได้เข้ามาอยู่ใจกลางกรุงเทพมหานครได้พักนึง ก็เร่ร่อนพเนจรออกสู่โลกเเคบของมันไปเรื่อยย้ายบ้านไปตามที่ๆมีคนให้ข้าวกิน เลี้ยงดูปูเสื่อ จนปัจจุบันนี้มันก็เดินทางมาได้จนถึงวัยที่ควรจะได้พักผ่อนอยู่อย่างสงบตามอัตภาพของมัน เนื่องจากเขี้ยวเล็บเเละกำลังวังชา คงสู้กับหมาหนุ่มๆสาวๆ ไม่ได้แล้ว เเต่การกลับได้เป็นเช่นนั้นไม่ วุฒิภาวะของมันไม่ได้ช่วยให้จิตของมันไตร่ตรองได้เลยว่าควรเห่าหรือควรเงียบเฝ้ามองเหตุการณ์อยู่ห่างๆ กลับเห่าตามอำเภอใจของมันต่อไปโดยหาได้รู้ไม่ว่า การกระทำของมันเองได้ก่อให้เกิดความไม่พอใจของหมาตัวอื่นๆ

ผมในฐานะคนเลี้ยงหมาหรือถ้าจะให้ถูกต้องเรียกว่าคนเคยเลี้ยงหมา เนื่องจากว่าผมได้จากบ้านผมามาเป็นเวลานานเเล้ว หมาที่ผมเคยเลี้ยงไว้ก็ได้ตายจากไปหมดเเล้วด้วยเงื่อนไขของกาลเวลา คงไม่มีคำบรรยายใดๆหลุดออกมาจากปากของผม คงได้เเต่เก็บความสงสารเอาไว้ว่าสักวันนึงมันคงจะรอดจากเขี้ยวเล็บของหมาหนุ่มสาว โดยไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส เพราะมันก็เเก่มากเเล้ว ถ้าเกิดมาเจ็บป่วยในช่วงวัยสุดท้ายของชีวิตมัน มันคงเจ็บระทมลำบากมิใช่น้อย แล้วคราวนี้มันจะต้องระเห็ดระเหินไปอยู่ที่ไหนอีกละ ใครจะเอายามาทาให้มันเพื่อรักษาสะเก็ดเเผลจากคมเขี้ยว

เเต่มาคิดอีกทีโลกนี้มันช่างไม่มีอะไรเเน่นอน คงเป็นกฏเเห่งกรรมของตัวมันนั่นเองที่ต้องรับผิดชอบต่อข้อเท็จจริงนี้ต่อไป

Saturday, February 11, 2006

เเบบฟอร์มขับไล่นายกทักษิณ

มีเวลาคิดเรื่องจะเขียนเพียบเเต่ไม่บังอาจกลั่นความคิดออกมาได้ในช่วงนี้ เนื่องจากทั้งทำงานทั้งเรียนเวลาก็เเทบจะไม่ให้เหลืออ่านหนังสือเเล้ว ยังต้องมานั่งอัพเดทบล็อกด้วยนี่ คาดว่าคงได้กลับบ้านเร็วกว่ากำหนด เเต่ก็ยังอุตส่าห์หาเวลาติดตามข่าวการเมืองไทยเป็นนิจ

วันนี้คงไม่วิจารณ์อะไร มีเเต่เเบบฟอร์มมาให้ดาวน์โหลด เห็นที่เมืองไทยเค้าปิดกั้นกันนักหนา เลยเอามาเเปะไว้ให้โหลดกัน อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะตามมาปิดได้รึเปล่า ลองคลิ๊กที่หัวข้อเลยนะครับ ผมทำลิงก์เอาไว้แล้ว เจอกันเมื่อชาติต้องการ

Friday, February 10, 2006

Public Administration and Business Adminstration


For anybody, who can not tell the difference between "Public Administration" and "Business Administration", Don't feel bad! You'll never walk alone. There might be someone on this biased planet that might not be able to understand at all, even though the gurus already gave him the definition.

As I wrote roughly about what public administration is in the old blog, I would define my own definition of the goal of Public Administration as "... To organize and manage all resources; human capital, budget, time, and so on, more efficient and response to citizen's needs under the nation's constitution..", while the definition of Business Administration as "...To organize and manage all resources; human capital, budget, time, and so on, more efficient and response to the owner's needs in order to maximize company profits..."

I'm just telling you my own definition of those two fields (it may not be the same definition in traditional textbooks), in which, you might see that they have the same endownments,but it has totally different method how to utilize resources to complete the goal in the organization.

Let me show you something about what I'm interested in this topic. As a businessman, if I were the owner of the million-dollar business, I would love to see a very huge/gigantic profit margin at the end of this year. Moreover, I will hire employees whoever possess a high capability, while i will oust somebody that I think is useless out of the office anytime.

On the other hand, if i were a head of bureaucratic agency (e.g. in Iconoclastland), I can't not do the job under the business hat anymore. Why? The answer is simple. I have no customers in this situation but I do have clients who are citizens and/or voters. So if there is no customers, should I continue to focus my own goal on profit maximization? It makes no sense! In fact, I have to take off my business cap and put on a public service hat instead. Moreover, changing the outfits is a necessary condition but not a sufficient condition (it sounds familiar ner). I have to equip myself with public service mind. Yes!

It is very important for me (at least) to conform my idea toward to the public organization atmosphere, otherwise I will keep looking how to take advantage of being a bureaucrat and absorb economic rent from policy making power ,that i possess, to seek the way how to make myself affluent as Toxin is doing now.

Our citizens' tax money will use for my own sake not for the good of the wealth of the nation, which is very unethical action. It is very dangerous state if you allow me, who is full of business mind, to govern Iconoclastland (for another election term). I know it's hard to prove that I'm wrongly doing or not, since I might raise the issue that my action is supported by 19-million voters. And I will insist this rights to reign my Iconoclastland.

Question? Will you express your idea/feeling/thought toward my action if you see my vicious will? or you will let it be.

Sunday, February 05, 2006

ระบบกติกาตามครรลองระบอบประชาธิปไตย


การชุมนุมของขบวนการกู้ชาติซึ่งนำโดยคุณ สนธิ ลิ้มทองกุลเมื่อวันที่ 4 กุมภาพันธุ์ 2549 ดำเนินไปด้วยความสงบเรียบร้อย หาได้มีการชุมนุมด้วยความรุนเเรงใดๆ ซึ่งอาจเป็นบ่อเหตุของการทำลายทรัพย์สินของชาติ แต่ในทางกลับกันท่านนายกทักษิณยังมองว่านี่เป็นการเล่นเกมส์การเมืองนอกระบบ ทำให้ผมมานั่งนึกอยู่นานพอสมควรว่าการที่ประชาชนซึ่งไม่ได้เป็นนักเลือกตั้ง ที่จะมีสิทธิ์ติดป้าย สส เข้าไปประชุมในรัฐสภาอันทรงเกียรติ แล้วเเสดงความคิดเห็นในระบบการเมืองในกรอบทัศนะของคำว่า "การเมืองในระบบที่ถูกต้อง"ของท่านนายก หรือการที่พวกเขาเหล่านั้นไม่มีโอกาสในการเเสดงความคิดเห็นที่เเตกต่างตามสื่อต่างๆ มันจะมีช่องทางไหนบ้างที่พวกเขาเหล่านั้นจะเเสดงความคิดเห็นที่เเตกต่างออกมา

ถ้าพิจารณาสิทธิขั้นพื้นฐานของประชาชนทุกคนตามที่รัฐธรรมนูญได้บัญญัติไว้ ที่เรามีสิทธิที่จะพูดและชุมนุมอย่างสงบ ผมว่าการที่ประชาชนจำนวนหนึ่งซึ่งอาจจะมีความคิดเห็นที่เเตกต่างกันออกไปจากเเนวคิดของรัฐบาลแล้วมารวมตัวกันที่พระบรมรูปทรงม้า แล้วทำการยื่นฏีกาผ่านประธานองคมนตรีนั้น เป็นการกระทำที่ถูกต้องและชอบธรรมที่สุด

ทำไมเรื่องที่ง่ายๆขนาดนี้ท่านยังไม่เข้าใจ หรือเป็นความเข้าใจผิดและความโง่เขลาของผมที่ตีความหมายของรัฐธรรมนูญผิดไป