ถ้าจะให้ผมพูดถึงช่วงชีวิตที่ผมมีความสุขมากที่สุดและน่าจดจำมากที่สุด คงจะไม่พ้นช่วง 11 ปีในรั้วอโศก โรงเรียนที่ผมรู้สึกมีความผูกผันกับสถานที่ เพื่อน มาสเตอร์ ครู และความทรงจำที่ดีๆ ไม่ว่าผมจะได้ย้ายไปเรียนมหาลัยเเถวท่าพระจันทร์ จนได้มาเรียนต่อยังต่างประเทศ ความสนุกที่ได้เจอกับบรรยากาศเเปลกๆใหม่ๆมันก็ทำให้ผมเพลิดเพลินไปกับมันได้ช่วงระยะเวลาหนึ่ง เเต่เมื่อใดก็ตามยามว่างคิดทบทวนสิ่งที่เกิดขึ้นมาในอดีตอันเป็นบ่อเกิดของปัจจุบันและอนาคต 11ปีของชีวิตนักเรียนประถมและมัธยมในโรงเรียนเซนต์คาเบรียลนี่มีอิทธิพลทางด้านความคิดของผมพอสมควร
จะว่ากันไปแล้วผมใช้ชีวิตในรั้วของโรงเรียนยามตื่นมากกว่าอยู่ที่บ้านเสียอีก เริ่มจากไปโรงเรียนตั้งเเต่หกโมงเช้ากลับหกโมงเย็นหรืออาจจะกลับดึกมากกว่านั้นขึ้นอยู่กับเกมฟุตบอลพลาสติดใต้ตึกฟาติมาว่าจะติดลมกันขนาดไหน พูดถึงฟุตบอลนี่ยิ่งคิดยิ่งมีความสุขพวกผมนี่ตอนอยู่ม.4-5 นี่เตะกันทุกวันนะครับ สามโมงครึ่งกระดิ่งดังปุ๊บต้องมีส่งม้าศึกออกไปซื้อบอลพลาสติกร้านเจริญชัยมากันเเล้ว พอได้มาก็ตรงดิ่งไปใต้ตึกฟาติมากันก่อนเลย มีการวอร์มอัพกันด้วยนะ ตั้งเตะฟรีคิ๊กบ้าง เตะมุมบ้าง สนามก็ขนาดนิดเดียวเอง เเต่เตะกันเป็นร้อย กว่าจะเลิกกันก็นู้นเเหนะ หกโมงกว่าๆ เตะกันมันระเบิด
ร้านอาหารการกินนี่ก็ใช่ย่อยอร่อยซะไม่มี อย่างที่ขาดกันไม่ได้ก็คือร้านก๋วยเตี๋ยวเรือเเม่สมจิตร์กะร้านนายเบิ้ม ความอร่อยคงวันกันไม่ได้ด้วยขนาดชาม เเต่ต้องอาศัยจากการกะจำนวนคนในร้าน บอกได้คำเดียวว่าเยอะฉิบหาย เคล็ดลับความอร่อยเพื่อนผมเคยลองเเอบถามคนทำก๋วยเตี๋ยวว่าไอ้ผงกะไม้ที่อยู่ข้างๆหม้อต้มก๋วยเตี๋ยวนี่มันไรอะพี่ คำตอบที่ได้กลับมาเเบบที่เล่นทีจริง อ๋อน้องกัญชานะ มันทำให้น้ำซุบหวาน พวกผมก็บางอ้อมิน่าละพวกกูถึงกินกันไปขำกันไป ไม่รู้ขำเหี้ยไรกัน นอกจากนี้ยังมีร้านข้าวมันไก่เเถบๆสี่เเยกสามเสน ร้านนี้พวกเด็กโรงเรียนผมกินกันเยอะมากตอนเช้าๆ พวกผมก็เป็นลูกค้าประจำกันอยู่หลายปีนะครับ จำเป็นจำนวนที่เเน่นอนไม่ได้ แต่ให้กะคร่าวๆก็คงจะสิบปีได้ อร่อยเเละไม่เเพงเเถมตอนกินนี้มีลุ้นทุกครั้งนะครับ ว่าจะมีรถผ่านเข้าออกซอยรึเปล่าเพราะโต๊ะที่พวกผมชอบนั่งนี่มันจะอยู่นอกร้าน เป็นโต๊ะเอามากางไว้ซึ่งมันขวางทางเข้าออกเค้าอยู่ รถมาทีเราก็ยกโต๊ะหลบกันที พี่ๆที่ร้านไม่ต้องพวกผมจัดการกันเอง ให้สาธยายร้านอร่อยอีกกี่ย่อหน้าก็ไม่จบเอาเป็นว่าของกินเเม่งเยอะจริงๆ
ส่วนเรื่องเรียนไม่ต้องห่วงครับห้องผมนี่ถึงเเม้จะเป็นห้องทีถือว่าเสมือนเป็นห้องรวมเด็กเกรดสามกว่าๆมารวมกันไว้ 77 ชีวิต แต่ในทางปฏิบัติเราทำตัวอย่างห้องเรียนบันเทิงกันอย่างเเรงกินขนม อ่านการ์ตูน คุยกันเสียงดังไม่ได้สนใจตอนพวกมาสเตอร์กะครูสอนกันเท่าไหร่ แกล้งเพื่อนบ้างอย่างเพื่อนผมคนหนึ่ง(ขอไม่เอ่ยนามเเต่เดี๋ยวจะใบ้ให้ ตัวสูงๆนะ ชอบเล่นบาส เเถมเป็นลูกทาสที่ชอบติ๊กชีโร่เป็นชีวิตจิตใจ)มันนั่งหลังผมซึ่งมันจะเป็นคนที่เพื่อนให้ความรักความอบอุ่นมาก ให้ความใส่ใจมันอย่างดี วันดีคืนดีถูกเพื่อนๆหลอกให้ลงไปมุดใต้โต๊ะหาของ แล้วเราก็รุมกันเเกล้งมัน เช่น จับมันเเก้ผ้าบ้าง รุมสกรัมบ้าง ไอ้ที่เราเล่นๆกะมันเนี่ยไม่ใช่ว่าเรารังเกียจเดียจฉันท์อะไรมันนะ "แต่กูรู้ว่ามึงชอบ"
และเเน่นอนจากการที่ห้องผมเป็นห้องที่หลายๆฝ่ายคาดหวังว่าคงจะผ่านการเอ็นทรานซ์ได้ถึงร้อยเปอร์เซนต์เนื่องจากรุ่นพี่ส.พ.พ. สองรุ่นเเรกนี่ทำงามหน้าไว้ดันเอ็นติดเกือบร้อยเปอร์เซนต์ได้อาจจะหลุดไปคนสองคนอันนี้ผมก็จำไม่ค่อยจะได้ แต่พอมาถึงรุ่นผมจากการทีเราทำตัวกันอย่างดี ในชั่วโมงเรียนไม่ค่อยเรียน เอนเตอร์เทนซะส่วนใหญ่ จากความคาดหวังของเหล่าอาจารย์เริ่มกลายมาเป็นตักเตือนเนื่องจากคงเห็นว่าเก่งเเล้วเหลิงหรืออย่างไรไม่ทราบ แต่สุดท้ายรุ่นผมก็เอ็นทรานซ์ติดกันเป็นส่วนใหญ่คิดเป็นร้อยละ 97 เห็นจะได้ เเถมยังมีคนสอบได้คะเเนนสูงสุดของสายศิลป์มาอีกคนซึ่งต่อมาก็เป็นศิษย์เก่าของมหาลัยเก่าเเก่ระดับโลก Oxford University
เเน่นอนครับกลับไปนึกถึงอดีตทีไรมันเป็นความทรงจำที่ดีๆของผมมีเรื่องดีๆเหี้ยๆปนกันไป ก็คงต้องขอบคุณเหล่าคณาจารย์ที่อุตส่าห์เฝ้าดูเเลประคบประหงมพวกเราอย่างเช่น ครูวิไลพร และ มาสเตอร์จักรวาล ครูประจำชั้นของเรา และก็เหล่าเพื่อนๆที่เป็นเพื่อนกันมาหลายปีและก็คงเป็นต่อไปเรื่อยๆ ถึงเเม้ตอนนี้เเต่ละคนคงย้ายไปเรียนต่อหรือทำงานในที่ต่างกรรมต่างวาระของเเต่ละคน แต่ผมว่าโรงเรียนนี่ได้สอนผมและเพื่อนๆอีกหลายๆคนอย่างมากดังคำขวัญของโรงเรียน Labor Omnia Vincit "มนุษย์ทุกคนต้องทำงาน ความอุตสาหะวิริยะเป็นหนทางไปสู่ความสำเร็จ"
ป.ล. ผมมีเพลงโรงเรียนเเนบมาให้ฟังด้วยนะ เชิญรับฟังกันได้ประกอบกับการอ่านกับหัวข้อนี้