อาทิตย์ที่ผ่านมานี่ผมว่าชีวิตผมนี่มีเรื่องต่างๆผ่านเข้ามาเยอะพอสมควร ถ้าย้อนเวลากลับไปสักช่วงผมอายุสักยี่สิบต้นๆนี่ผมคงได้เเต่เกรี้ยวกราด กินเหล้า ทำตัวเเย่ๆ เรื่องบางเรื่องนี่ผมคงไม่สามารถเขียนบนบล็อคนี้ได้เพราะบางทีพ่อเเม่ผมคงมีโอกาสเเวะเวียนมาอ่านบ้าง เดี๋ยวจะกลายเป็นเรื่องที่ทำให้เค้าไม่สบายใจ แต่บางเรื่องนี่ผมก็ไม่รู้จะหันไปคุยกะใครเหมือนกัน ผมอยู่อเมริกามานานจนเพื่อนผมกลับกันไปหมดแล้ว จะคุยจะปรึกษาใครก็ไม่ได้ ก็คงต้องอาศัยผ่านตัวหนังสือบนโลกไซเบอร์บล็อกนี่เเหละครับ ที่ผมถือว่าเป็นอาณาเขตที่ผมสามารถระบายความคิดของผมผ่านเเป้นพิมพ์ไอบุ๊คของผม โดยไม่ต้องสนใจว่าใครจะฟังหรือไม่ฟัง ชอบหรือไม่ชอบ ผมไม่ได้บังคับให้ใครอ่านจริงไหมครับ
ก็อย่างที่หัวข้อบล็อกละครับ "อีกแล้วครับ" แต่คราวนี้มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับความรักของผมซึ่งนานๆมันจะผ่านมาสักทีนึง ผมไม่ปฏิเสธนะครับว่าผมก็เป็นคนนึงที่ต้องการความรักกะเค้าอยู่เหมือนกัน ผมก็เเค่คนธรรมดาๆคนนึง ตลอดระยะเวลาที่ผมอยู่อเมริกานี่เรื่องสาวๆนี่ก็มีบ้างนะครับ แต่ไม่ถึงกะขัั้นผูกผันเป็นเเฟนกัน ก็มีผ่านมาพอทำให้ชีวิตกระชุ่มกระชวยได้พักนึง แล้วผมก็ค้นพบว่าเค้าไม่ใช่ ก็ผ่านกันไป
จนไม่กี่เดือนมานี้ไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้ผมกะเค้าคนนั้นมาพบกันอีกที ผมยอมรับว่าเริ่มเเรกผมก็ไม่มีอะไรทำเบื่อมากเจอคนรู้จักกัน ก็ชวนไปเที่ยวไปดูหนังไม่ได้คิดอะไรนอกจากคำว่าเพื่อน แต่เวลามักจะเล่นตลกกับคนที่ไม่มีโชคทางด้านความรักเสมอ ยิ่งเวลาผ่านไปผมเริ่มที่จะอยากเรียนรู้เรื่องราวเกี่ยวกะตัวเค้ามากขึ้น จนบางครั้งผมว่ามันพัฒนาจากความสนิทสนมไปเป็นความชอบ ความคิดถึง และความห่วงใยในที่สุด ผมคงไม่กล้าเรียกมันว่าความรักได้เต็มปากเต็มคำ เพราะผมก็ไม่เเน่ใจตัวเองเหมือนกัน แต่ละวันที่ผมได้คุยกับเค้าคนนั้นเค้าอาจจะไม่รู้เลยก็ได้ว่าผมเเอบชอบอยู่ เริ่มสะดุดกับกับดักทัศนคติของเค้าคนนั้น มารู้สึกตัวอีกทผมก็ปีนขึ้นมาจากหลุมนั้นลำบากแล้วละครับ
ผมก็ไม่ได้คิดไว้หรอกครับว่าจะบอกให้เค้ารู้ เพราะผมก็กลัวอยู่เหมือนกันว่าคำบางคำที่พูดไป มันอาจทำให้สถานะภาพและความรู้สึกที่ดีๆเปลี่ยนไป ใครจะด่าว่าปอดเเหกผมก็ยอมรับละครับไม่มีข้อโต้เเย้งใดๆจากคนที่ได้ชื่อว่ามักมีเหตุผลของตัวเองมาเเย้งกับชาวบ้านตลอด จนเมื่อพฤหัสที่แล้วผมก็ได้พูดคุยกับเค้าคนนั้นในเรื่องที่ผมไม่เคยคิดว่าจะได้คุย มันก็ทำให้ระบบความคิดที่มันจะใช้ Cost and Benefit Analysis ทำงานหนักมากขึ้น คิดทั้งด้าน positve และ negative sides แต่สุดท้ายระหว่างทางที่ผมขับรถมาส่งเค้าที่บ้านผมตัดสินใจทีีจะใช้หัวใจคิดมากกว่าที่จะใช้เหตุผลคิด
แล้วผมก็ตัดสินใจบอกชอบเค้าคนนั้นไป เพราะอย่างน้อยผมก็อยากให้เค้ารู้ว่าผมรู้สึกยังไง ณ ตอนนั้นเนี่ยผมก็ไม่ค่อยเเน่ใจหรอกนะว่าคำตอบจะเป็นยังไง แต่ก็เตรียมใจไว้แล้ว และคำตอบที่ผมได้มามันก็คงเป็นเหมือนกับคำพูดที่คนที่มีความเป็นเพื่อนที่ดีตอบเพื่อถนอมสายสัมพันธุ์อันดีกระทำกัน เค้าให้ผมกลับไปคิดใหม่ ผมก็พอจะตีความหมายได้อย่างไม่ยากเย็นว่า ความรู้สึกของผมครั้งนี้คงพัฒนาไปไม่ได้ไกลไปกว่าคำว่าเพื่อ่น แล้วคื่นนั้นก็มีเรื่องไม่ค่อยจะดีเกิดกับผมอีกครั้ง ซึ่งผมคงบอกไม่ได้ว่ามันคื่อเรื่องอะไร
แล้วสองวันต่อมาผมก็อยากฟังคำตอบที่ผมไม่ต้องมานั่งคาดเดากันอีก ซึ่งมันทำให้ผมเคลียร์กับความสงสัยของผม ว่าเราควรที่จะคบกันต่อไปเเเบบเดิม ไม่ต้องบอกนะครับว่าความรู้สึกช่วงนั้นเนี่ยเคว้งๆชอบกลนัก น้ำตาซึมๆได้เล็กน้อย แต่ก็ตามคนมีฟอร์มละครับคุยตลกกลบเกลื่่อน แล้วผมก็กลับมาสู่ silent mode สมองไม่สั่งการชั่วขณะ กลับมาบ้านก็นั่งฟังเพลงไปเรื่อยไม่ทำอะไรซักอย่าง จนถึงตอนนี้ผมก็ยังอารมณ์ค้างอยู่นิดนึง แล้วเรื่องอีกเรื่องของ The Iconoclast's Journey ก็จบกันไปเเบบไม่เเฮปปี้เอนดิ้งเหมือนหนังรักทั่วๆไป แล้ว toll board ของผมก็ได้ขีดอีกเส้นในช่องของเพื่อนที่ดีมาอีกเส้นนึง