Saturday, December 31, 2005

California's Rain

Today is the last day of the year 2005. I have a couple of plans to do today but the california rain made my plan failed. Actually, I woke up early this morning (around 8 a.m. is it early morning???). I was about to go to Disneyland since my generous newly wed friends from East Lansing, MI, gave me two disney passes to me (Twinmooyak, who migrate from windy and cold weather in the cold belt state to the sunshine state during their school break. I would recommend a keg of beer might warm u up dude). Anyway, this morning it was only light mist covered around my residential area but later on it turned out to be shower and god's tear.. Jeeezzzz!!!! so my first plan was automatically cancelled.

Nevermind dude I still have a back up plan which is going to another thai party. I called my co-worker but for the christ sake it was postponed from early afternoon to 10 p.m. tonight, which made me more freak. Hold on! Hold on! Knock it off! Let's me think. Guys this year is probably my first new year's eve in the states that I don't have any special plan to do. There is no more third, fourth or what so ever plan in my head.

Moreover, while i was writing this draft and chatting with P' POL_US, my internet explorer was crashed for some reason. Goshhhh! Y don't i use mac to write it??? What a day! It's not a serious obstacle but it's bother me a little bit this morning. Additionally, I find no presents for my cousins. Nothing is in my head now.

It's such a boring day ner. But let think on the other way around, rain might clean my mind this year and get myself ready for next year. Let leave something sad, bad, unhappy story behind and look forward to a new year path. Happy New Year 2006 to everybody krub. C U next year

Friday, December 23, 2005

คุณเชื่อเรื่องพรหมลิขิตไหม

เคยนั่งคิดกันเล่นๆไม่ครับว่าวันๆหนึ่งเนี่ย เราใช้เวลายี่สิบสี่ชั่วโมงไปกับเรื่องอะไรบ้าง ผมว่าลองนั่งคิดเเล้วตอบคำถามนี้กับตัวเองก็ดีเหมือนกันนะครับ เผื่อเราอาจจะรู้จักตัวเราเองมากขึ้น แล้วลองคิดกันเล่นๆต่อไปอีกสักนิดดีกว่าว่า ไอ้เวลาที่เราเเบ่งสรรปันส่วนไปให้กับกิจกรรมต่างๆของเรานั่นนะ ตัวเราเองมีความสุขมีความพอใจหรือไม่พอใจอย่างไร แล้วถ้าหากว่าเราไม่พอใจมันอยู่เนี่ย มันเป้นเพราะอะไร

เปล่าเลยครับถ้าจะคิดว่าผมบรรลุุหรือบ้าไปแล้ว ผมก็ยังเป็นมนุษย์เงินเดือนอย่างที่หลายๆคนโดนข่มขี่นให้เป็นหรือไม่ก็สมยอมเป็นบางโอกาศ ผมก็มีบางส่วนของชีวิตที่ไม่ค่อยจะสบอารมณ์กับมันสักเท่าไหร่ อยากเเก้ไขหลายครั้งหลายครา แต่สุดท้ายก็จำใจยอมรับกับชีวิติที่ต้องผ่านไปวันๆ

เเต่ในความจำยอมผมก็เริ่มคิดได้ว่า มันก็เเค่ทางผ่านประปรายก่อนจะไปถึงจุดที่เราอยากไป การได้ทำในส่ิงที่เรารักนี่ผมว่ามันไม่ยากเท่าไหร่ เเต่การที่จะทนรอเพื่อให้ได้ทำในสิ่งที่รักนี่สิครับ ผมว่ายากโคตร บางคนใช้เวลาไม่นานในการค้นหา แต่สำหรับบางคนค้นหามาเกือบค่อนชีวิตยังหาไม่เจอก็มี หลายคนอาจจะละและเลิกที่จะคิดว่ามันคืออะไร

ไม่ได้นั่งเทียนเขียนนะเนี่ย เเค่ผมลองนั่งคิดว่าตัวเรานี่เเม่งมานั่งทำซากอะไรอยู่นมนานที่เมืองนอก ใช้เวลาเรียนก็ค่อนข้างนานกว่าชาวบ้าน เพื่อนรุ่นเดียวกันเริ่มจะจบกันไปแล้ว ทำงานเเต่ละวันเหมือนมนุษย์เงินทำไปใช้ไป จนผมเร่ิมจะหลงลืมจุดที่ทำให้ผมมาศึกษาต่อ จนวันนี้ครับ พูดง่ายๆ ผมต้องการพลังผลักดันอะไรซักอย่าง (Drive) ใหม่ ก่อนที่ผมจะถูกสังคมรอบข้างตีกรอบให้เป็นเเรงงานไร้วิญญาณมากไปกว่านี้

วันนี้คริสต์มาสมันก็คงเป็นเหมือนวันธรรมดาทั่วๆไป หากเเต่ว่าความคิดตอนเเจ็ดโมงเช้าของวันที่ 25 ธันวาคม มันบอกให้ผมไปโบส์ถ เพื่อประกอบพิธีทางศาสนาคริสต์ที่ผมเรียนรู้มาเเต่เด็กที่เรียกว่ามิซซา เปล่าครับนี่ไม่ใช่กิจกรรมที่ผมมักจะทำเป็นกิจวัตรในทุกๆปี ในปีที่ผ่านๆมาผมมักมีข้ออ้างให้กับตัวเองได้เสมอ ในการที่จะไม่ไปหรือไปก็ด้วยความจำเป็น แต่ปีนี้กลับเเตกต่างออกไปเพราะผมกับเต็มใจไปด้วยตัวเอง

และเหมือนดวงตาอันเเซนซนของผมที่ชอบลามเลียไปกับบรรยากาศที่ดูคุ้นเคยมาตั้งเเต่จำความได้ ได้าไปสะดุดแผ่นใบปลิวของทางโบส์ถ ซึ่งขี้นข้อความเป็นตัวหนาพอที่จะสะกดตาทั้งสองของผมให้อ่านข้อความภายในต่อ "Nativity of The Lord" เป็นหัวข้อนั้นครับ ซึ่งก็คงหลีกหนีไม่พ้นเรื่องราวของทารกน้อยที่เกิดมาท่ามกลางความหนาวเหน็บในโรงเลี้ยงสัตว์ เรื่องมันคงจะไม่มีต่อหากเเต่เด็กคนนั้นไม่ได้มาเป็นศาสดาคนหนึ่งซึ่งสอนเหล่าสานุศิษย์บนโลกนี้ให้เป็นคนที่เชื่อในความรัก

เพียงเเค่เวลาสั้นๆไม่ถึงชั่วโมง ผมกลับเดินออกจากโบส์ถกับคำตอบที่ผมอยากได้มานาน ไม่น่าเชื่อว่ามันอาจจะเป็นคำตอบสุดท้ายว่าทำไมผมถึงมายืนอยู่และมันอาจจะเป็นตาน้ำที่ด่อให้เกิดเเม่น้ำลำธาร รู้สึกดีครับที่ได้รับเเรงกระตุ้นอีกครั้ง แล้วคุณเชื่อในพรหมลิขิตมั๊ย

Sunday, December 18, 2005

Blog + Bloggers = Friends + Something New

ถ้าจะให้นั่งนับวันนับเดือนกันจริงๆแล้วบล็อคผมก็มีอายุหนึ่งขวบไปแล้วตั้งเเต่เดือนที่แล้ว (อันนี้เป็นความตั้งใจให้ตรงกับวันเกิดตัวเองด้วยหรือเปล่าก็ไม่ทราบ เเต่ที่เเน่ๆจำง่ายดีครับ) ถึงเเม้ว่าเริ่มเเรกเเต่เดิมทีอาศัยว่าเปิดบล็อคไปก่อนเเล้วค่อยเขียน แต่เอาเข้าจริงๆกว่าจะได้ฤกษ์เขียนครั้งเเรกก็ปาเข้าไปอีกสี่ห้าเดือนให้หลัง แต่ตอนนั้นก็ได้มีโอกาสเเวะไปเยี่ยมบล็อคของชาวบ้านมากพอสมควร ลองมาทบทวนความทรงจำกันเล่นๆดีกว่าครับว่าประวัติความเป็นมาของบล็อคผมมันเป็นยังไง

เริ่มเเรกเลยนี่คงเป็นพี่ปิ่น คนที่ผมเห็นเเกเหมือนนักเรียนหัวกะทิมาตั้งเเต่เยาว์วัย คนอะไรเรียนเก่งโคตรๆ เเถมกิจกรรมยังเป็นเลิศ ภาพที่ผมติดตาก็คงเป็นตอนพี่เเกขึ้นไปรับเหรียญรางวัลเรียนดี คนอื่นๆขึ้นเเล้วก็ลงกันเเค่คนละรอบ พี่เเกก็ขึ้นลงรอบเดียวเหมือนกับคนอื่นเเต่ที่ต่างไปบ้างก็คงเเกได้ยืนอยู่บนเวทีนานกว่าชาวบ้านเพราะคงไม่สะดวกนักที่จะให้เเกเดินขึ้นลงๆหลายๆรอบ (คงเดากันได้นะครับว่าพี่เเกกวาดเหร๊ยญเรียนดีมาเยอะมาก กระเป๋าหน้าอกข้างซ้ายห้อยน่าเกลียดมากครับ) ต่อจากนั้นผมก็ยังเดินตามตูดเเกเข้าไปสำนักท่าพระจันทร์ เเม้จะไม่่ได้มีความตั้งใจอย่างเเรงกล้าว่าต้องเข้าที่นี่ แล้วผมก็จบออกมาจากสำนักท่าพระจันทร์และได้มีโอกาสมาศึกษาต่อที่ต่างประเทศนี่เเหละครับ ก็เป็นเเกนี่เเหละครับที่ส่งเว็บส่วนตัวที่ Umass Amherst มาให้อ่าน จวบจนเเกย้ายบ้านมาที่ Blogger ผมก็ยังเป็นผู้ติดตามที่ดี ตามกันมาอ่านจนผมคงถือได้ว่าเป็นพี่เเกนี่เเหละ ที่เปิดโลกอันใหม่ให้กับผมอีกทั้งยังเหล่า bloggers คนอื่นๆอีกเพียบ และยังเป็นคนที่ทำให้ผมอยากเขียนอะไรออนไลน์ให้เป็นได้มากกว่าไดอารี่บันทึกความทรงจำ

เหล่า Bloggers สายพันธ์ุต่อมาไม่น่าพ้น คุณพี่ B.F. Pinkerton กับ คุณพี่ POL US เหตุที่เอาท่านพี่สองท่านมารวมกันนี่สืบเนี่องมาจาก ท่านทั้งสองเป็นเหล่าเเฟนพันธ์ุเเท้ของเว็บพันธุ์ทิพในห้องไกลบ้าน (ห้องอื่นนี่ไม่รู้นะครับไม่ค่อยได้เข้าไปซักเท่าไหร่) พี่เเกสองคนจะเป็นคนตอบกระทู้เยอะมาก เขียนภาษาอังกฤษดีทั้งคู่ คนเเรกนี่รู้เยอะมากเกี่ยวกับเรื่องมหาลัย ขนาดผมว่าผมรุ้เยอะพอสมควร เเต่นี่พี่เเกรู้ในเชิงลึกลงไปอีก ส่วนท่านพี่ตำรวจไทยนี่ ก็คงเป็นเเนวเด็กนักเรียนนอกสอนเด็กใหม่ ให้คำเเนะนำไปเรื่อย อ่านเเล้วก็เพลินดี เลยเริ่มอยากรู้จักเพราะอ่านๆที่เเกคอมเมนต์เอาไว้ ก็คิดในใจเเม่งต้องเรียนคล้ายๆกูเเน่เลย ถึงตอบได้ตรงกับที่เราคิดไว้ ก็ตามบล็อคพี่ท่านทั้งสองไปอีกกว่าขวบปี ถึงได้มีโอกาสสนทนาทางเอ็มเอสเอ็นกันเเบบตัวเป็นๆ เเต่ก็คุยกันสัพเพเหระกันซะส่วนใหญ่ เเต่คงมีเรื่องหนักๆบ้าง อันนี้ให้ผมฝึกฝีมือซักสี่ห้าปีก่อน อาจจะพอสูสี (รึเปล่า) คุณพี่ทั้งสองเป็นโปรกอฟล์ไทเกอร์ วู๊ด ที่ผมคงจะล้มยาก แต่ก็เป็นเเรงกระตุ้นให้ผมคิดๆๆ แล้วก็พยายามผลิตงานเขียนทีมีสาระออกมา

คนต่อมานี่น่าจะเป็น ดร. หนุ่มจาก Cornell ผมว่าผมคุ้นหน้าพี่อย่างเเรงก็เหมือนกับที่พี่คุ้นๆหน้าผม เราไม่เคยทักกันเเบบตัวต่อตัว เเต่บทสนทนาส่วนใหญ่ผ่านมาจากเเป้นพิมพ์คนละซีกโลก ผมรู้จักเเกอย่างเป็นทางการก็ตอนที่ผมอยากรู้ว่าทำไงถึงเอาเพลงไปเเปะบนบล็อคได้วะ เพราะพี่เเกชอบเอาประกอบเป็นเเบ็คกรานด์อยู่เสมอ เลยไปทิ้งรอยเท้าไว้ในข้อความหนึ่งของบทความเเก พี่ท่านก็ใจดีอุตส่าห์มาบอกว่าเพื่อนเรารู้เเล้วว่าทำไง นั่นก็คงเป็นจุดเริ่มต้นที่ผมเริ่มเเอดเเกลงในเอ็มเอสเอ็น แล้วผมก็เริ่มเป็นฝ่ายยิงคำถามเเกห่าใหญ่ ทำไงถึงเรียนรอด อ่านหนังสือเล่มไหนดี พี่เเกก็ใจดีตอบมาเป็นชุดอยู่เหมือนกัน หวังว่าพี่เเกคงยังไม่เบื่อกับคำถามของผมซะก่อน

ถ้าจะให้เเนะนำร้านกาเเฟ นั่งสบายๆคุยกันเรื่องการเมือง เศรษฐกิจ สิ่งเเวดล้อม ก็นี่เลยครับเชิญเเวะมาที่ Crystal Cafe เพื่อนเก่าเพื่อนเเก่มาตั้งเเต่ ป 1 จำได้่ว่าได้เจอกันครั้งสุดท้ายก็ตอนที่นายคนนี้กำลังเดินทางไปหาที่เรียนเเถบยุโรปที่สนามบิน หลังจากนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกันอีกเลยจนพี่เเกย้ายถิ่นฐานมาอยู่เเถบเมืองหลวงของประเทศที่เรียกตัวเองว่า International FBI ถึงได้พูดคุยเเลกเปลี่ยนประสบการณ์กันอีกคร้ง จะว่าด้วยหน้าที่การงานเเกด้วยรึเปล่าที่สั่งถ้วยเเรกๆมากิน ช่างเสริฟ์เร็วเหลือเกิน แต่ถ้วยถัดมานี่รอแล้วรอเล่าเจ้าของร้านก็ยังไม่เอามาเสริฟ์สักที รู้มั๊ยว่าลูกค้ายังรออยู่นะ

คงจะเป็นการลำบากถ้าจะให้เอ่ยถึงเหล่าเพื่อนออนไลน์ทั้งหมดในเนื้อที่ที่จำกัด แต่ภายในขวบปีเเรกของการมีบล็อคเป็นของตัวเอง ผมได้เพื่อนมากขึ้น เพื่อนซึ่งเปิดโลกทัศน์ของผมให้ก้าวไปในอีกมุมมองที่ผมไม่เคยมอง ซึ่งทำให้ผมได้เรียนรู้อะไรใหม่ๆ ถ้าให้ผมประเมินผมว่าผมพอใจกับการมีบล็อค The Iconoclast's Journey มาก ผมก็หวังว่าในขวบปีที่สองคงมีเรื่องอะไรใหม่ๆให้ผมได้พบเจอ ก็เชิญทุกคนมาฝากรอยเท้าของย่างก้าวปีที่สองด้วยกันนะครับ แล้วปีหน้าผมคงได้เขียนบทความอย่างนี้ใหม่ Merry X' Mas and Happy New Year 2006 ทุกคนนะครับ

Sunday, December 04, 2005

Long Live The King


วันนี้นับเป็นครั้งเเรกก็ได้มั๊งครับที่ผมดูในหลวงประทานพระบรมราโชวาท เเก่พสกนิกรชาวไทยเนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ณ. ศาลาดุสิดาลัย สวนจิตรลดาในต่างเเดน ถึงเเม้ว่าจะเป็นเเค่เทปบันทึกก็ตาม แต่ผมก็เฝ้ารอมาตลอดในหนึ่งเดือนที่ผ่านมา เนื่องจากช่วงนี้เป็นช่วงที่เมืองไทยคงมีปรากฏการณ์เเปลกๆ หลายๆอย่างที่เห็นได้ชัดคือกระเเสคุณสนธิ ที่นำกระเเสไม่เอาทักษิณนำโด่งมาเเต่ไกลไม่ว่าจะเป็นด้วยเหตุผลอะไรก็ตามที่คุณสนธิได้กล่าวอ้างมา ส่วนทางด้านกรณีของท่านนายกก็เช่นกันด้วยความที่มีนักกฏหมายส่วนตัวที่มีความรู้ ได้ทำการเเนะนำให้ฟ้องสื่อเลยเพื่อเป็นการปกป้องสิทธิตามรัฐธรรมนูญ

ความขัดเเย้งดังกล่าวยิ่งนานวันผมก็ยิ่งรู้สึกทั้งสองฝ่ายเริ่มรุกกันมากขึ้นจนผมเริ่มรู้สึกว่ามันเริ่มเกินความพอดี มันจะฟ้องอะไรกันให้มากมายจาก 500 ล้านเป็น 2,000 ล้านบาท นี่ท่านกะจะใช้อำนาจเงินเเละอำนาจรัฐที่คนสิบเก้าล้านเสียงทุ่มให้คุณตอนเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา เพียงเพื่อสนองต่อความรู้สึกโกรธและไม่พอใจเชียวหรือ ท่านไม่ได้สำเนียกต่อเสียงร้องทุกข์ของคนส่วนน้อยเลยหรือ เอะอะอะไรก็อ้างสิบเก้าล้านเสียงที่ท่านได้มา อ้างถึงความชอบธรรมของอำนาจรัฐ ทั้งที่จริงจำนวนสิบเก้าล้านเสียงยังไม่อาจนับได้ว่าเป็นเสียงของคนส่วนใหญ่ข้างมาก (Majority Population) ฝ่ายคุณสนธิถึงเเม้ผมจะชื่นชมเป็นการส่วนตัวก็ตามว่าได้ทำหน้าที่ของสื่อคอยเป็นหมาเฝ้าบ้านคอยเห่าเวลาเจอสิ่งเเปลกปลอมในสังคมไทย แต่ผมก็ต้องขอติงนิดนึงว่าการเป็นนักข่าว ซึ่งมันก็ไม่ต่างอะไรกับท่านนายก ท่านก็อยู่ในที่เเจ้งเช่นกันและที่สำคัญด้วยเทคโนโลยีสมัยใหม่ทั้งทางด้านดาวเทียมและการอัดบันทึกภาพเเละเสียง คำพูดของคุณสนธิคงนำกลับมาฉายดูใหม่ได้อีกหลายรอบ เเละเเน่นอนเด็กรุ่นหลัง(นับจากรุ่นผมลงไปก็ได้นะครับ)คงได้ยินได้ฟังคำพูดที่เต็มไปด้วยอคติส่วนตัว (Personal Bias)จากคำพูดของคุณสนธิเองก็ทำให้ตัวผมมีความเชื่อคล้อยตามไปได้ว่าท่านคงไม่ได้อยากก่อให้เกิดกระเเสการใช้กำลังเเละความรุนเเรงในการเเก้ปํญหา อยากให้ใช้สันติวิธีและธรรมะเป็นตัวชี้นำ แต่หลากหลายประโยคที่คุณได้นำมาใช้ในการตีเเผ่ความไม่ชอบมาพากลของรัฐนั้นผมว่ามีการใช้คำที่ก่อให้เกิดความรู้สึกรุนเเรงเเละฮึกเหิม ผมว่าคุณสนธิต้องยิ่งระมัดระวังคำพูดและต้องรับผิดชอบต่อผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้

ผมยังนึกไม่ออกว่าท่านทั้งสองจะหาทางเเก้ปัญหานี้กันอย่างไร และผมก็ไม่คิดด้วยว่าปัญญาน้อยๆของผมจะสามารถคาดเดาทางออกที่คนอยู่บนหลังเสือทั้งสองจะไม่ลงเเบบล้มคะเมนลงมา นั้นคงเป็นเหตุผมหนึ่งที่ผมเฝ้ารอว่าเมื่อถึงวันเฉลิมพระชนมพรรษาของพ่อเจ้าเเผ่นดิน พระองค์ท่านจะทรงประทานคำเเนะนำให้กับสังคมไทยเราอย่างไร

แล้วผมก็คิดว่าผมไม่ผิดหวังที่เฝ้าคอย ขนาดพ่อของเเผ่นดินทรงตรัสออกมาเเล้วว่า คนที่เป็น King แล้วยังเป็น King เเบบไทยๆ ยังสามารถรับคำวิจารณ์จากคนทั่วไปได้ ถึงขั้นทรงบอกว่าถ้าประชาชนไม่พูดถึงท่านเลยคือ ไม่กล้าหรือไม่ก็ไม่เอ็นดู ท่านยังทรงอนุญาติให้ประชาชน (รวมทั้งคุณสนธิด้วย) สามารถวิจารณ์ท่านได้ อีกทั้งยังทรงตรัสขอให้ท่านนายกยกฟ้องด้วย ดังนั้นท่านทรงรับสั่งประทานทางออกให้หลายๆฝ่ายแล้ว ผมว่าหลายๆฝ่ายน่าจะรับฟังให้มากๆ แล้วนำไปปฏิบัติตาม อย่างน้อยก็ถือว่าเป็นการลดภารกิจพระองค์ท่าน และลดความระคายเคืองพระยุคลบาท แล้วผมคงนับถือพวกท่านที่ได้ทำหน้าที่ของข้าราชบริภารที่ดี ขอทรงพระเจริญ